up level monkey!

Just another jirajira.com site

Posts Tagged ‘บูรณาการ

บันทึกเอนทรานซ์ฟันน้ำนม KUS50

เรื่องของเรื่องเริ่มมาจาก…

โรงเรียนแรกที่บ้านเราตัดสินใจเลือกให้จิระจิระเป็นรร.เล็กๆ แนวบูรณาการผสมการทดลองจริงประมาณ Project Approach แต่ก็จะเน้นเล่นซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เลือกที่นี่ก็คิดว่าการที่ได้เรียนที่นี่ดูแล้วลูกมีความสุข และอิป๊าอิแม่ก็จะได้สนุกไปกับการได้เรียนรู้และค้นหาอะไรใหม่ๆ ไปด้วยกัน

แต่ช่วงอ.1  เรียนไปได้พักใหญ่แล้ว (เข้าตั้งแต่ตอ.) แม้เราจะตะหงิดๆ ว่าทำไมจิระจิระยังเป็นเด็กที่มีภาวะอารมณ์ช่วงเด็กเล็กค่อนข้างมีปัญหา ร้องไห้เก่ง(มาก) ไม่อยู่ในกฎกติกา มักสนใจอะไรแล้วอินแบบเวอร์ๆ หมกมุ่นมากๆ เช่นบ้าปฏิทิน บ้าธงชาติ บ้าตัวเลข เล่นอะไรซ้ำๆ เล่นคนเดียว ไม่ค่อยเล่นกับเพื่อน หรือพูดคุย เล่นนั่นนี่เหมือนเด็กอนุบาลคนอื่นที่เราแอบดูเท่าไหร่ ถามอะไรเกี่ยวกับเพื่อนเกี่ยวกับโรงเรียนก็ไม่ค่อยจะยอมเล่า แต่ก็ไม่ได้เอะใจว่าผิดปกติอะไร ได้แต่คิดว่าลูกแสบ ซน องค์ลงกว่าคนอื่น จนได้คุยกับครูที่รร.ถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่รร.มาเปรียบเทียบกับที่บ้าน ก็เลยได้ไปปรึกษาหมอนิตยา ณ วิชัยยุทธ เบื้องต้นหมอบอกว่าน่าจะอยู่ในกลุ่ม high function ของ Autistic spectrum disorder แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแนวไหน ก็สังเกตอาการ follow กันมา 2 ปีกว่าจึงได้รู้ว่าจิระเข้าข่าย Asperger’s Syndrome ที่ค่อนข้างจะมีปัญหากับอารมณ์และสังคม พอได้รู้ก็เตรียมรับมือได้ถูก รู้ว่าจะต้องพยายามปรับความเข้าใจยังไง พูดยังไง หลอกล่อยังไง ไม่งั้นก็คงคิดแต่ว่าลิงองค์ลงบ่อยและแม่ก็จะหงุดหงิดกับเค้าไปเรื่อยแน่ๆ ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่เลือกเรียนรร.แนวนี้ซึ่งพอเป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ เรียนรู้ด้วยการเล่นอยู่แล้ว เรื่องวิชาการไม่ซีเรียสทำเกรด แม่กับป๊าก็ใช้เวลามาสนใจเรื่องการปรับพื้นฐานอารมณ์กับจิระจิระได้มากขึ้น และพอเรารู้ว่าต้องรับมือยังไง ทางรร.และผปค.ท่านอื่นๆ ที่รร.ก็ช่วยกันเต็มที่ จนพัฒนาการตรงนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องมาคิดต่ออีกว่าที่บ้านวาดฝันนี่มีแค่อ.3 แล้วป.1 จะยังไงดีก็มองว่า รร.ที่น่าจะเลือกให้เป็น step ต่อไปก็อยากจะให้เป็นแนวนี้อีกเพราะว่าถ้า้ไม่ต้องปรับตัวมากเพราะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของการเรียนแบบนี้ ทางบ้านก็จะได้โฟกัสเรื่องการดูแลได้ง่ายขึ้น แต่พอลิสท์ออกมาแล้วรร.แนวนี้ที่ใกล้บ้านเรามันช่างหายากและสอบเข้ายากซะเหลือเกิน (-_-)

ตอนนั้นกำลังจะขึ้นอ.2 ก็ชิววววว คิดว่าอีกตั้ง 2 ปี จบอ.3 ถึงจะไปสอบ ที่ไหนได้ พอมาหาข้อมูล ดันกลายเป็นว่าตามเกณฑ์สาธิตแล้วไอ้ลูกชายจะต้องไปสอบตอนจบอ.2 นี่แหละ แว้ก!!!!!! และที่กะว่าจะไปสอบปสม.อ.3 ถ้าไม่ได้ก็ค่อยไปสาธิตเกษตรปีต่อไป ดันกลายเป็นว่าตามเกณฑ์อายุ 3 สาธิตหลักเลือกได้ครั้งเดียวที่เดียวเพราะมันสอบวันเดียวกัน! (ไม่ได้รู้เรื่องเลย เสร่อจริง)

อิแม่ก็ล่กสิคระ ทำไงดีวะ รร.ที่เรียนก็ยังไม่ได้เรียนอ่านเขียน เพิ่งจะเริ่มเรียนพยัญชนะ ก-ฮ เองอ่ะ แล้วลิงก็ยังอยู่ไม่นิ่ง จะไปสอบกะเค้าไงล่ะเนี่ย…..

แต่ยังไงก็ตาม คติของบ้านเราคือถ้ายังไม่ได้เริ่มก็อย่าเพิ่งท้ออย่าเพิ่งถอดใจ ก็มานั่งคุยกันพ่อแม่ว่าเอาไงดี เอามั้ย สู้นะปีนึงเต็มๆ ลองดู อย่างน้อยก็ได้ลอง ดีกว่าไม่ได้ลอง ยังไงคนไม่ได้ก็เยอะกว่าได้แหละน่า….พอคิดงี้ สรุปกันได้ปุ๊บ ก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่ม ก็พอดีว่าช่วงจะเปิดเทอมอ.2 มี๊กุ๊ด ณ สามแม่วัวคุยกับมี๊บีที่ลูกเข้าสู่รั้วสาธิตไปได้แล้ว มาบิ้วไปเรียนติวเข้าสาธิต ในใจตอนนั้นก็แอบแอนตี้อยู่นะว่าอะไรวะอนุบาลก็ต้องเรียนพิเศษแล้วเหรอ ก็ไปปรึกษาครูที่รร.ว่าเอาไงดีคะ ควรเรียนหรือไม่ยังไงดี แล้วเค้าสอนอะไรกัน? แต่พอฟังว่าการเรียนพิเศษติวสาธิตจะเป็นการเรียนคอนเซปท์ของเชาว์ต่างๆ การฝึกให้เด็กคุ้นเคยกับการฟังคำสั่ง นั่งกับที่ รู้ว่าขั้นตอนการสอบคืออะไร ไม่ใช่การให้ท่องจำ ก็อ่ะ…ลองดู

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น….เพราะพอคิดว่าจะเรียน ติดต่อครูรสที่เพื่อนแนะนำมาให้ไปก็เต็ม ไม่สามารถเรียนได้ จะไปครูอื่นก็ไม่รู้จักไม่มี reference (ออกแนวเพื่อนบอกว่าไงไปไหนไปด้วยนะ)

จะทำยังไงล่ะทีนี้…เพื่อนผู้แสนดีก็ถามครูให้อีกที โอเคว่าน่าจะได้เป็นครูอีกท่านนึงไม่ใช่ครูรสสุดฮอต ไอ้เราก็ไม่รู้จักหรอกครูรสครูเลิฟ เพราะไม่เคยคิดจะให้ลูกติวมาก่อนก็โอเคครูอะไรก็ได้มั้ง แต่ก็โชคดีไปว่าพอจะเรียนจริงๆ มีเด็กในคิวครูรสแคนเซิล เลยได้เสียบเรียนไปแบบไม่ได้รู้เร้ยว่าคนอื่นเค้าจองคิวกันตั้งแต่อยู่ในท้อง!!! OMG!!!

ช่วงแรกของมหากาพย์การติวสอบก็ดำเนินไปเนิบๆ สัปดาห์ละครั้งแบบช่างมันเถอะ

แต่สิ่งสำคัญที่บ้านเราคิดและทำอยู่เสมอนอกจากการจับลูกนั่งทำโจทย์คือการให้ลูกได้เรียนรู้จากของจริง ไม่ว่าจิระจิระจะอินอะไร ชอบอะไรถ้าพาไปได้จะพาไปทุกที่ ถ้าอยากลองอะไรก็ให้ได้ลองให้ได้รู้ เน้นการใช้เรื่องที่สนใจเป็นฐานแล้วก็ขยายความสนใจออกไป

เมื่อตั้งใจแล้วว่าปีนี้ทั้งปีจะอยู่กับลูกก็เริ่มปรับมุมมองและคุยกันมากขึ้นแล้วก็ได้สังเกตว่าจากเด็กที่ยังอ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้ ยังไม่เคยเรียนเขียนอ่าน พอชอบอะไรสนใจอะไรเค้าจะเปิดรับทุกสิ่งอย่าง เช่นช่วงเทอม 2 ของอ. 2 ที่ลิงอินรถไฟฟ้าอิแม่ก็พาไปตะเวนทัวร์รถไฟฟ้ากันจนครบทุกสถานี (ที่เล่าไปในบ๊อกที่แล้ว >> ลิงซ่าพาทัวร์ทั่วกรุง รูธจัดเต็ม! อีแม่ตายยยยย T^T) MRT ARL BTS BRT route) เค้าก็เริ่มจำชื่อสถานี อยากอ่านป้ายได้ เริ่มเขียน วาดแผนที่ แม่ก็เริ่มต่อยอด ค่อยๆ สอนเรื่องตัวสะกด คำอ่าน ตอนก่อนนอนอ่านนิทานกันก็ให้ลองอ่านเรื่องซ้ำๆ เดิม แล้วลองให้อ่านคำที่ง่ายๆ เอง หัดคิดค่ารถ จ่ายเงิน ทอนเงิน จำนวนเงินคงเหลือ แผนที่ ทิศทางสายรถไฟ คำนวนระยะทางการต่อรถว่าไปทางไหนต่ออะไรจะเร็วกว่า ถูกกว่า บลาๆๆ

จากเคสรถไฟฟ้า มาเคสอื่นๆ ถัดมาขึ้นอยู่กับว่าหัวข้อที่จิระกำลังสนใจอยู่คืออะไร ไปเที่ยวไหนก็พยายามสอนให้กว้างขึ้นในส่วนของความรู้รอบตัว ช่วงนี้แหละที่ทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งอย่างคือการเรียนรู้สำหรับเด็กจริงๆ อะไรที่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้อยู่แล้ว มองข้ามไปหรือไอ้นี่ก็ต้องอยากรู้ด้วยเหรอ มันก็คือการเรียนรู้ทั้งนั้น ทุกสิ่งที่ลูกถามจะพยายามตอบและขยายความจนกว่าจะหมดคำว่า “ทำไม” ถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจก็เปิด google จนแทบจะอ่าน Wikipedia เป็นนิทานก่อนนอน อย่างไปต่างประเทศก็ชวนกันเอาลูกโลกมาดู ดูตั๋วเครื่องบิน ดูความแตกต่างของเวลา time-zone  วัฒนธรรม (เช่นคนไทยกินข้าว คนฝรั่งเศสกินขนมปังตอนเช้า) สภาพอากาศ ดูเทอโมมิเตอร์ การเดินทาง ถามทาง เงินแต่ละชาติเรียกแตกต่างกัน ค่าเงินก็ต่างกัน (เล่นบ่อยๆ เช่นถ้าเงินประเทศนี้ 1 = ….บาท แล้วถ้ามีเงิน ….บาท จะเท่ากับกี่…..?) ให้รู้ว่าโลกนี้มีประเทศอื่นๆ ภาษาอื่นๆ ก็คุยกันไปต่อยอดไปเรื่อยไม่ว่าจิระจะถามอะไร ป๊ากับแม่ก็จะพยายามตอบ ตอบ และถามกลับ เอามาช่วยกันตั้งคำถามเสมอ (ถึงจะขี้เกียจจนอยากหัดให้ search อ่านเองแต่ก็ยังมิสามารถอ่ะนะ) หรือไปทะเลก็จะเล่าเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง ก้อนหิน พรายน้ำ ดูก้อนเมฆด้วยกัน ก็ต่อยอดได้ เมฆมาจากไหน ทำไมถึงเป็นเมฆ ท้องฟ้า รุ้งกินน้ำ เฉดสีต่างๆ โลกร้อน ทำไมก่อนฝนตกต้องร้อนมาก ทำไมน้ำทะเลมีสีเขียว บ้านของปูอยู่ที่ชายหาดขุดรูเป็นเม็ดๆ แล้วถ้าคลื่นซัดปิดบ้านปูจะออกมาได้มั้ย ไปบ้านคุณย่าก็ไปเลี้ยงไก่นับไข่เก็บผัก เล่นท่องสูตรคูณแม่ 1 โหลกันคล่องเชียว เวลามาออฟฟิสกับแม่คุยกับเพื่อนแม่ เรื่องการลงทุน หุ้น ขาดทุน กำไร ซื้อมา ขายไป ไอที ไม่ว่าจะถามอะไร สงสัยอะไรลุงๆ ป้าๆ เพื่อนๆ แม่สอนให้หมด จนบางคนถามว่า เด็กขนาดนี้แกจะเล่าให้มันฟังทุกเรื่องขนาดนี้เลยเหรอวะ?

ครึ่งปีแรกผ่านไป ที่เรียนติวเข้าสาธิตไม่กระเตื้องเลย เทสออกมาก็โหล่ๆ ตลอด ไปสอบพรีเทสที่ปสม.ก็ได้ที่เกือบ 600 ก็ทำใจกันล่ะว่า ไม่ได้แหงล่ะนะ เตรียมหา option เลยเหอะ และในเมื่อบ้านเราทำให้สิ่งที่คิดว่านี่คือการเรียนให้ดูเป็นเล่นมาตลอด พอเป็นยังงี้ลูกก็ชิว ทุกอย่างฮีเล่นหมด แต่จะได้ใช้กับข้อสอบมั้ย? ไม่มีใครรู้… ไม่เคยเครียดใส่เลย ไม่เคยต้องบังคับให้ซีเรียสกับการทำโจทย์เลยเพราะเท่าที่เห็นมันก็ยากอยู่นะ ดูแล้วก็เหนื่อยแทน ได้แต่คุยกันว่าถ้าเมื่อไหร่เค้าบอกว่าพอก็พอนะจะเลิกให้ไปเรียน แต่จิระก็ชอบไปเรียนครูรสมาก ขนาดไข้ขึ้นก็ไม่ยอมหยุด บอกว่าอยากไปเรียนเพราะครูสอนสนุกแม่สอนแทนไม่เห็นสนุกเลย แป่ววว (โจทย์ที่เป็นการบ้านก็ไม่ค่อยจะยอมทำนะ แต่แม่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร ยังคงปล่อยชิววว)

ถึงจะตั้งเป้าไว้ที่สาธิตประสานมิตรเพราะใกล้บ้านแต่พอต้องมาคิดถึง option เสริม ตามเกณฑ์อายุแล้วก็เลยลองไปสอบเซนต์ดอมินิก (ใกล้บ้านที่สุด) สอบปุ๊บรู้ผลเลย ตอนสัมภาษณ์ผปค.อธิการทำหน้ากังวลๆ บอกว่าข้อสอบทำได้แต่น้องไม่นิ่งเลย ยังไม่น่าจะพร้อม เห็นว่าอยู่อ.2 กลับไปเรียนอ.3 ให้จบก่อนดีมั้ย? ในขณะที่พูด ไอ้เจ้าจิระก็ปีนโต๊ะอธิการโชว์เลย….สุดท้ายก็ต้องปฏิเสธไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าที่เห็นลิงลัลลาๆ เค้าแอบคิดอ่ะ เค้าแอบเครียดว่าทำไมเค้าสอบได้แต่ไม่ได้เรียน จิระไม่ได้บอกแม่ไม่ได้บอกป๊าแต่อาการมันไปออกกับการเรียนเปียโน ถึงขั้นร้องไห้เล่าให้ครูเปียโนฟังต้องพักเรียนเปียโนกันไปช่วงนึงเลยทีเดียว….อิแม่ก็อึ้งไปเลย ทำไงดีวะทีนี้ ปลอบๆ ปรึกษาครูที่รร.อีกพักใหญ่ แต่ก็เลยกลายเป็นว่าต้องเตรียมตัวปลอบลิงสนามใหญ่ยังไงดี หรือว่าจะชิ่งไม่สอบล่ะ ก็ลังเลๆ

พอกลางๆ เทอม 2 การเรียนติวสาธิตเริ่มเข้าเค้า….ที่ส่งไปเรียนทุกวีคๆ แม่เพิ่งจะเก็ทว่า ที่จริงการเรียนครูรสไม่ได้สอนเด็กให้ทำแต่โจทย์ แต่เป็นการเรียนที่สอนพ่อแม่ให้เข้าใจ “การนำเทคนิคไปคุยกับลูกในภาษาที่เด็กเข้าใจ” เกี่ยวกับคอนเซปท์พื้นฐานที่เด็กควรจะรู้เป็นยังไงมากกว่า (แต่โจทย์ก็ย๊ากกกยากกกก) และสอนให้ผปค.ทั้งหลายพึงระลึกว่า ลูกตัวเองไม่ได้เก่งที่สุดและจงอย่าคาดหวังในตัวเด็กเกินกว่าที่เด็กแต่ละคนเป็น การไปเรียนครูรสเริ่มเห็นผลช่วงปลายเทอม 2 โดยเฉพาะเรื่องวินัย ความอดทน ความตั้งใจ การยอมรับผลสอบที่น้อยกว่าครั้งก่อน การเคารพกติกาโดยรวมของห้อง ป๊ากับแม่สามารถสอนลูกได้ว่าทำไมเราถึงไม่เอาคะแนนตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำไมเราถึงต้องพยายามให้มากขึ้น ตั้งใจขึ้น เทียบกับตัวเองให้แข่งกับตัวเองเสมอ ครูมีเทคนิคในการหลอกล่อเด็กยังไง อิแม่แอบลองหมด เอาเรื่องที่เจ้าตัวสนใจมาล่อ พยายามสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นจากตัวเองให้ได้ พอลิงเปลี่ยนเรื่องอิน แม่ก็เปลี่ยนเรื่องล่อ

(งานนี้ที่เซอร์ไพรซ์มากคือเวลาเรียนติวจะมีเทสเป็นระยะๆ จิระจิระจะตั้งกฏให้ตัวเอง ถ้าสอบแต่ละครั้งได้น้อยกว่าครั้งก่อน จะอดเล่นเกม 1 วีค แต่ก็มีแรงจูงใจว่าถ้าทำได้ดี สถิติใหม่จะได้เล่นจำนวนวันเพิ่ม เนื่องจากเกมเป็นสิ่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่มาตลอด เพราะฮีจะหมกมุ่นมากไม่ยอมทำไม่ยอมสนใจอะไร จนต้องมีกฎบ้านลิงคุมเวลาให้เล่น gadget ได้เฉพาะวันอาทิตย์ 1 ชม.เว้น 3 ชม.) ถึงยังไงคะแนนเทสก็ยังห่วยได้โล่ห์อยู่ดี ไม่ได้มีหวังให้กระเตื้องซะเลยล่ะ โดยเฉพาะการสังเกต photo hunt ทั้งหลายไม่เอาเลย ข้ามตลอด ไม่ยอมทำเลย แต่จะค่อนข้างเด่นเรื่องเลข ครูก็เลยแนะนำว่าน่าจะลองไปเกษตร เพราะน่าจะเข้าแนวน้องมากกว่าประสานมิตร

แต่ถึงจะเด่นเลขไม่ต้องติวไรมากแต่ปัญหาของเกษตรคือข้อสอบเน้นภาษาไทย และการฟัง เนื่องจากที่ไปเรียนติวเป็นการเรียนเชาว์ ไม่ได้มีการเรียนภาษาไทย ที่รร.ก็ยังเพิ่งจะเริ่มเรียนพยัญชนะต้นก็หนักแม่หน่อยล่ะนะ ที่จะต้องสอนให้ลูกลิง อ่านออก เขียนได้ สะกดถูกภายใน 3 เดือน! ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าภายใน 3 เดือน จิระอ่านนิทานเองได้เป็นเล่ม อ่านป้ายทางด่วน ป้ายต่างๆ เขียนแชทกับแม่ได้ ที่สำคัญ….สะกดถูกด้วย ส่วนการฟังบ้านเราใช้เวลาอยู่ในรถนี่แหละเล่นเกม “ฉันกับพ่อ…” ง่ายๆ คือเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ตามแต่ที่จะนึกออกโดยมีจุดเริ่มต้นเรื่องคือ “ฉันกับพ่อ…” หรือถ้าวันไหนขี้เกียจคิดก็เปิดวิทยุฟังแล้วถามคำถามจากเรื่องที่ฟังกันไป…ก็สอนกันง่ายๆ แบบนี้แหละ

การเล่นให้เป็นเรียนเมื่อเด็กพร้อม เค้าจะไปได้เองอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่รร.บ้านวาดฝันได้พร่ำบอกมาจริงๆ

พอโล่งใจได้กับเลขและภาษาไทย อิแม่ก็ยังคิดว่าข้อสอบเชาว์ต่างๆ คงยังไม่ไหวอยู่ดี เพราะอย่างที่บอกว่าลิงชอบไปเรียนแต่ไม่ชอบกลับมาทำ แต่พอ 2 เดือนสุดท้ายก่อนสอบ จิระจิระบ้าทำโจทย์มากๆ ขอทำโจทย์เองตลอด ต้องมีติดรถติดบ้านติดออฟฟิส เรียนวันเสาร์ครึ่งวันที่รร.ก็ไม่ยอมโดดเลย อยากไปเรียน จะตื่นเต้นทุกครั้งที่มีวันเรียนพิเศษ ขยันเวอร์จนแม่นอยด์ว่าถ้าเอ็งขยันแบบนี้แล้วถ้าสอบไม่ได้กรูจะตอบจะปลอบยังไงดีวะ….

โค้งสุดท้ายก่อนสอบ….ทุกสิ่งอย่างก็ดำเนินไปตามรูทีนทุกวัน พาไปออฟฟิส ไปเรียนครูรส ปล่อยให้ทำโจทย์เล่นไป (โจทย์ติวกลายเป็นของเล่นไปแระ) จนถึงวันจะสอบ ลูกเครียดป่าวไม่รู้ แต่ก็ไม่น่าจะเครียดไรนะ เพราะแม่กะป๊าก็ไม่บิ้วอะไรมากไปกว่าที่ทำปกติ เน้นเรียนให้เป็นธรรมชาติ (แต่มีล่อนิดนึงว่าถ้าสอบได้จะได้เล่นเกมทุกวันนะเพราะมีเวลาว่างจากการทำการบ้านมากกว่าเซนต์ดอฯ) รู้แต่ว่าจิระจิระนิ่ง นิ่งขึ้นมากกก มากกว่าตอนไปสอบเซนต์ดอมินิกแบบเทียบไม่ติดเลย ความรู้สึกบางอย่างบอกว่า เค้าพร้อมนะ น่าจะพร้อมแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากหวังเพราะความหวังมันน้อยมากจากสถิติสอบที่ผ่านๆ มา ครูเบียร์เองก็บอกตลอดว่าน้องผิดเยอะเกินไปนะคุณแม่ ก็ทำใจด้วยแต่ก็อย่าเพิ่งท้อ ไหว้พระเยอะๆ (-___-)”

พอสมัครสอบเรียบร้อยแล้ว จากที่กะว่าลองไปสอบๆ เหอะ ได้ลองสนาม ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงคนอกหักก็เยอะกว่า ปากก็พูดไปแต่ลึกๆ แม่เครียดว่ะ บอกตรงๆ ถึงจะเครียดก็ต้องแอบเครียด ไม่ให้รู้ (กับอิพ่อก็ไม่ให้รู้ เดี๋ยวเสียฟอร์ม) เวลาคุยกันก็ต้องพยายามเล่าเรื่องคนที่สอบไม่ได้นั่นนี่นู่นให้ฟัง ถามหยั่งเชิงเป็นระยะว่าถ้าไม่ได้จะเป็นยังไง จะเสียใจมั้ย  คือเตรียมการปลอบใจลูกมาเป็นเดือนว่างั้นเหอะ เพราะถึงลึกๆ อยากจะหวัง แต่ความหวังมันช่างริบหรี่ % ที่จะต้องปลอบมันเยอะกว่าจริงจัง ที่สำคัญกลัวจิระจะเสียใจเพราะอุส่าห์ตั้งใจซะขนาดนี้

ว่าแล้วก็ทนไม่ได้ เวิ่นกะซะมีก็ไม่ได้ เพราะจะเสียฟอร์มก็เลยขอลากแม่ๆ ที่ลูกลงสนามปีนี้มาเวิ่นเว้อด้วยกันเม้าท์กันใน line จนในที่สุดก็จัดหนักหลังจากเห็นเจ้าตัวตั้งใจมาก จะให้อิแม่จะชิวต่อไปก็ทนไม่ไหวล่ะ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไม่มีจริงมนุษย์ไอทีอย่างอิชั้นจัดให้ครบทุกสิ่งอย่าได้ถามว่าเชื่อมั้ย ไล่ตามลิสท์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายสร้างกำลังใจให้ตัวเองนิ่งซะหน่อย เอาวะไหนๆ ก็โค้งสุดท้าย ไปเลยค่ะลูก…เดินสายไหว้เจ้ากันค่าาาา

ถามว่าเยอะมั้ย? ตามนี้เลย

ตั้งแต่ปีใหม่ไหว้พระ 9 วัด ณ จังหวัดน่าน มาอาทิตย์ก่อนสอบก็ไหว้พระพรหม พระพิฆเณศ พระตรีมูรติ ไหว้ศาลพระภูมิที่ออฟฟิส อนุสาวรีย์ 3 บูรพาจารย์ พระพิรุณทรงนาค ศาลตายายเจ้าพ่อเจ้าแม่หนองผักชีตามลิสท์มี๊บีเป๊ะๆ พกยันต์ใส่เป๋าเสื้อ เหน็บพระหลวงปู่ เขียนคาถาใส่พลาสเตอร์แปะอก รดน้ำมนต์ฮู้เผาเจ้าแม่กวนอิมก่อนเที่ยงคืน กินซูกัสกะปีโป้ลงอาคมปลุกเสก สวดมนต์ 9 จบ อธิฐานขอให้คุณตาคุณยายมาบอกข้อสอบจิระด้วย….. ใคร…เก่งแค่ไหนจะสู้ป่ะล่าาา

(แต่ที่บนมีแค่ไหว้ดอกกุหลาบศาลพระภูมิที่ออฟฟิส และทำความสะอาดลานอนุสาวรีย์ 3 บูรพาจารย์เพราะตอนไปไหว้แล้วเลอะเทอะขัดตามากแค่นั้นแหละ)

เช้าวันสอบ ไปถึงสนามสอบ 7 โมงกว่า นั่งรอในรถ กินข้าวกันไป เลิกเล่นทำโจทย์บังคับพักได้แล้ว เตี๊ยมลิงทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับคำสั่ง ย้ำให้ฟังให้ดีๆ นะใช้ปากกาสีอะไร วงกลมหรือกากบาท ครูบอกให้ทำอะไรก็ทำนะ ครูบอกให้พักไปเข้าห้องน้ำก็ไปนะ ล่อเอาไว้ว่าทุกอย่างที่ครูให้ทำเป็นคะแนนหมด บลาๆๆๆ และโล่งใจมากว่าฮีบ่นปวดอึ จัดการเรียบร้อยก่อนส่งตัวเด็กจนได้…..พอส่งตัวเสร็จ หันไปหันมารอบๆ แอบตกใจ นี่ชั้นอยู่สถานปฏิบัติธรรมหรือไร….แม่ๆ ผปค.รอบด้านนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิกันให้เพียบ!!!!

(-_______-)

รอจนสอบเสร็จ ในความรู้สึก ณ วันนั้นมันโล่งเลยนะ จิระจิระทำได้ดีมากตั้งแต่รอเข้าแถวส่งตัว จนแม่รับกลับ นิ่ง สงบแต่ไม่เซื่อง ยิ้มแย้ม แต่ไหงถามว่าทำได้มั้ย เค้าให้สอบอะไรบ้าง ฮีตอบ “อย่าถามได้มั้ยแม่ รู้มั้ยว่าจิระเหนื่อย” พอก่อนนอนลองอีกที ถามจิระ…วันนี้ข้อสอบยากนะ รู้สึกยังไงบ้าง ถ้าสอบไม่ได้จะเสียใจมั้ย คนสอบเยอะแยะเค้ารับแค่นิดเดียวนะ? เด็กน้อยส่ายหัวตอบแม่ “ไม่เสียใจคับ วันนี้ไปสอบสนุกมากกก เด็กๆ เยอะมากกกก จิระไม่เคยเจอเด็กๆ เยอะขนาดนี้เลยอ่ะ แม่รู้มั้ยที่ไปสอบมีด่านกินคะแนนเด็กร้องไห้ด้วยนะ”

โตขึ้นมากมายไอ้ลูกชาย….จิตใจเข้มแข็งขนาดนี้แม่กะปาป๊าภูมิใจมากเลย 😀

หลังจากนั้นไม่ว่าจะถามอะไรเกี่ยวกับข้อสอบฮีก็จะบ่ายเบี่ยงๆ บอกว่าทำได้ๆ “จิระคิดว่าน่าจะผิดซัก 3-4 ข้อนะ” แต่เวลาเห็นแม่ๆ แชร์ข้อสอบที่ขุดมาจากลูกได้กันแล้วเอามาถาม จิระจิระตอบผิดหมดเลยวะคะ T_T ยิ่งเราคาดคั้นลูกเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งไม่ตอบ แต่ถ้าข้อไหนที่ถามแล้วเค้ารำคาญเค้าก็จะอธิบายให้ฟังว่าเค้าถามประมาณนี้ๆ มีช้อยส์อะไรบ้าง….ไอ้ตรงมีช้อยส์อะไรบ้างนี่แหละที่ทำให้ไฟแห่งความหวังแว้บขึ้นมาอีกนิด เพราะส่วนตัวสมัยก่อนเวลาทำข้อสอบได้ มักจะจำช้อยส์ได้หมด ถึงข้อที่เราถามไปจะผิดแต่ถ้าข้ออื่นๆ เด็กสามารถจำช้อยส์ได้แสดงว่าเค้ามีสมาธิที่ดี ซึ่งแค่นี้ถึงจะสอบไม่ได้มันก็น่าภูมิใจแล้ว ว่าสิ่งที่เราพยายามกันมามันเห็นผลอยู่บ้างนะ

พอสอบเสร็จแล้วแถมทำได้ดีเกินคาดซะด้วย ให้แม่กะป๊าสบายใจได้ระยะนึง แต่ช่วงที่รอผลนี่แหละช่างรู้สึกแสนนานเหลือเกิน เมื่อไหร่จะพ้นๆ ผ่านๆ ไปซะที ยิ่งนานก็ยิ่งเครียด…อย่างที่บอกว่า เครียดตรงที่จะปลอบใจเจ้าตัวยังไง…. คืนก่อนประกาศผลอิแม่ก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ต้องหานั่นนี่นู่นมาทำให้ยุ่งๆ เข้าไว้จะได้เลิกเวิ่น พอถึงคืนวันเสาร์นี่ไม่ได้นอนกันเลย กะจะทำตัวให้ยุ่งจนถึงเช้าประกาศผลตี 5 แก้ง่วงด้วยการนั่งดูโอชิน และแชท…..ครั้นชวนซะมี อิป๊าก็ไม่ยอมไป บอกว่าจะรีบไปทำไม ไปเช้าไปสายก็ไม่น่าจะได้เหมือนกันนั่นแหละ (งานนี้อิชั้นเดิมพันความพยายามไว้ด้วยกระเป๋าใหม่อีกใบ ถึงจะดูไม่มีหวังแต่พอมีของเซ่นเช่นนี้ก็ขอหวังหน่อยได้ป๊ะ​?) แต่เราก็ว่าจะพุ่งไปดูผลที่บอร์ดเองก่อนลิงจะตื่น จะได้มีเวลาทำใจ และพอจะมีเวลาปรับสภาพตัวเอง ให้สร้างสตอรี่ปลอบใจลูกได้

ขึ้นรถไปตอนตี 4 กว่า บอกแม่ๆ ในแชทว่าอย่าเพิ่งบอกผล (ว่าจิระไม่ติด) นะ อยากไปดูเองทำใจเอง… ดันรีบ ลืมพิมพ์คำในวงเล็บ….ไม่ทันล่ะ มี๊บีส่งรูปมาให้ กรี๊ดลั่น taxi น้ำตาไหล แว้บนึกถึงเสียงไอ้ลูกชายตอนไปเดินสายไหว้เทพเจ้ากันขึ้นมาเลย “ขอให้จิระสอบได้ ขอให้จิระสอบติดสาธิตเกษตร ขอให้ข้อสอบออกที่จิระชอบๆ นะคับ ขอให้คุณครูใจดี ขอให้เพื่อนๆ จิระสอบได้ด้วยนะคับ”

ดูบอร์ดแล้วเพื่อความชัวร์ ถึงจะเห็นกับตาก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเลย…. กลับมาบ้านยังสั่งไม่ให้ทุกคนบอกว่าสอบได้ กะว่าจะพาเจ้าตัวไปไล่หาชื่อเองที่บอร์ด ตอนแรกลิงมีอิดออดนิดนึงว่าไม่อยากไป พอถามเข้าก็บอกว่า “ไม่อยากไปดูบอร์ด กลัวสอบไม่ได้” พอถามว่าแล้วทำไมคิดว่าสอบไม่ได้เหรอทำไมล่ะ? ฮีบอก “ก็จิระไม่ได้กินนมในห้องสอบอ่ะ คุณครูเค้าบอกว่า เด็กๆ ต้องกินนมเกษตรจะได้สอบได้แต่จิระไม่ชอบกินนมเลยไม่ได้กินนี่นา” ถึงจะขำแต่แม่กะป๊าก็ยังใจร้าย ไม่บอกนะ ยังแอบปลอบใจกันไปว่า คนอื่นเค้าก็ไม่ได้ตั้งเยอะ เราทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่แล้ว เราก็ต้องยอมรับผลนะ ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ได้แม่กะป๊าก็ภูมิใจที่จิระทำมาได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ คุยกันแป๊บนึงก็โอเค ก่อนออกจากบ้านไปดูผลแม่ถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ถามจริงๆ แล้วถ้าสอบไม่ติดจะเสียใจมั้ย?” จิระตอบได้ประทับใจมาก… “ไม่คับ ถ้าสอบไม่ได้จิระก็จะกลับไปเรียนที่บ้านวาดฝัน ไปเป็นพี่อ.3 จะได้ดูแลน้องเล็ก เพราะปีนี้จิระจะได้เป็นพี่โตแล้วนะ”

ไปถึงที่รร.สาธิตเกษตร ปล่อยให้เจ้าตัวไปไล่หาชื่อเอง เจอเอง ลิงดีใจมาก วิ่งมาแถ่กแม่เลย อวดใหญ่ตื่นเต้นใหญ่ว่าจิระสอบติดแล้วแม่!!! ดีใจมากๆ เลย

แม่ก็ดีใจ

ในที่สุดความหวังแม้จะแค่ 1% ก็ยังมีหวังจริงๆ นะ

จิระสอบได้เกษตร แม่ได้กระเป๋า ฟิน…….

นี่ไงเจอแล้ว!!!

นี่ไงเจอแล้ว!!!

Note :

• การพาลูกไปสอบไม่ใช่แค่การพาไปเพื่อทำข้อสอบแข่งกับคนอื่นเท่านั้น แต่การสอบสอนทั้งลูกและพ่อแม่ให้รู้จักความพยายาม ความอดทน ความตั้งใจ ความสมหวัง ความผิดหวัง ฯลฯ… คืออีกก้าวหนึ่งของการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้และปรับตัวให้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

• ดีใจที่เลือกที่จะให้ลูกไปสอบและขอบพระคุณคุณครูทุกท่านที่สอนสั่งให้คำแนะนำ เป็นกำลังใจจนโค้งสุดท้าย

• ขอบคุณครูแจน ครูสุ ครูกัญ ครูปู ป้าหว่าง ป้าหมู พี่วิ พี่เริญ และบุคคลากรทุกๆ ท่าน และอนุบาลบ้านวาดฝันที่เติมเต็มและค้นพบจุดเด่นเล็กๆ ของเด็กแต่ละคน หล่อหลอมด้วยการเรียนการสอนแบบธรรมชาติให้ได้เรียนรู้และเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ

• ขอบคุณครูรสและทีมงานทุกท่าน ถ้าไม่ได้เรียนก็คงไม่รู้ว่าลูกถนัดอะไรไม่ถนัดอะไร และทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วการเลือกรร.สาธิตให้เด็กแต่ละคนมีแนวทางต่างกัน

• ขอบคุณครูจ๋า ครูกิติมศักดิ์ของจิระและแม่ที่คอยให้คำแนะนำดีๆ เทคนิคการสอนเจ๋งๆ มาตลอด

• ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะสอบคงไม่ได้ใกล้ชิดและพูดคุยต่อยอดการเรียนรู้กับลูกได้ขนาดนี้

• การติวสอบสาธิตไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เคยคิด อย่างน้อยสิ่งที่จะได้ติดตัวไปจนโตคือหลักการคิดและเชาวน์ที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้

• เด็กแต่ละคนเหมาะกับแต่ละสิ่งไม่เหมือนกัน อย่าคาดหวังในสิ่งที่เค้าไม่ถนัด แต่จงส่งเสริมในสิ่งที่ช่วยทำให้เค้าอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ

• อย่าคาดหวังกับโรงเรียนและครู ถ้าผู้ปกครองไม่พยายามศึกษาในสิ่งที่ลูกกำลังเรียนรู้ไปด้วย

• ที่สำคัญ…ขอบคุณจิระ ที่สู้ด้วยกันมาจนถึงที่สุด อดทน พยายาม ตั้งใจจริงๆ และทำได้ดีที่สุดอย่างเหลือเชื่อ

รักจิระจิระที่สุด no.32 @KUS50

ถ่ายรูปติดบัตรสอบ