up level monkey!

Just another jirajira.com site

Memo Jeban x Springme

บางครั้งเป้าหมายในชีวิตหรือฝันที่ได้ลงมือทำมันก็ไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน ตั้งแต่ทำเวบคอมมูนิตี้ขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเวทีที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้สาวๆ ได้แสดงความสามารถ ได้ค้นพบทางเดินของตัวเองที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบของสังคมเดิมๆ การที่ได้เห็นเมมเบอร์เติบโตขึ้นเป็นรู้จัก เป็นแรงบันดาลใจสืบต่อไปให้คนอื่นอีกหลายทอด มันน่าภูมิใจนะ งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้หลายๆ คนถามว่ารายได้น้อยกว่า blogger เยอะเสียดายมั้ย? บอกเลยว่าไม่เคยเสียใจที่ไม่ได้เลือกจะเป็น blogger ต่อ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ และก็รู้ตัวว่าเหมาะกับการทำงานตรงไหนและทำอะไรได้ดีที่สุด การที่ได้เป็นคนเริ่ม ปูทาง วางผัง สร้างสนาม หาสปอนเซอร์ ส่งไม้ต่อให้ตัวจริงได้เข้าสู่เส้นชัยมันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ดีใจมากเวลามีน้องมาปรึกษามาถามขอคำแนะนำต่างๆ แม้ว่าแต่ละคนก็เก่งก็เกิดก็ดังมาได้เพราะความสามารถของตัวเองล้วนๆ แต่ก็ยังนึกถึงกันเสมอ ทุกครั้งที่เห็นน้องๆ ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอีกขั้นนั่นก็คือความสำเร็จของพี่ // ขอบคุณนะที่รักกัน ขอบคุณนะที่รักจีบัน ^^

ไม่ได้อัพบล๊อกนานมากกกกกก แบบว่าช่วงนี้อิ่มเอิบใจขอแปะไว้นิดนึง ตั้งแต่มี Springme by Jeban ทุกวันมีนัด ได้คุยได้รู้จักกับเมมเบอร์มากขึ้นในมุมที่กว้างขึ้น ทั้งเรื่องงานและเรื่องทั่วไป ได้ฟังเรื่องราวที่เป็นแรงฮึดให้เรามุ่งมั่นมากขึ้น ได้กำลังใจมาเติมว่าสิ่งที่เราคิดและทำมาเป็นอะไรที่ใช่ แล้วรู้สึกดี๊ดี // รักตัวเอง รัก #jebanteam

Written by pikarin

March 13, 2015 at 23:25

Posted in my monkey

จิระจิระ จะจบป.1 แล้วน๊าาาาา

เกือบจะน็อครอบปีพอดีจากบล็อกเก่า จะเริ่มจากอะไรดี….มีเรื่องเยอะแยะมากมายเริ่มไม่ถูก -__-”
หลักๆ ที่ผ่านมาในช่วง 1 ปีก็คงเป็นเรื่องการปรับตัวเพราะการย้ายรร. เปลี่ยนสังคมใหม่ที่ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้นไม่ใช่การปรับตัวเฉพาะจิระคนเดียวแต่เป็นการปรับกันใหม่ทั้งครอบครั้วเลยนะเออ แค่จะบันทึกว่าต้องทำอะไรบ้างในชีวิตปจว.ก็ยาก ว่าจะเล่าจะเริ่มก็ยาก จะไล่เรียงก็ยากแล้วตรูจะเริ่มเขียนยังไงดี ก็เอาเป็นว่านึกอะไรออกก็เขียนละกันเผื่อโตขึ้นจะได้ย้อนมาอ่านพัฒนาการกันได้บ้าง

เริ่มจากเทอมแรกของป.1 ที่แค่ก้าวเข้าไปลองเรียนวันแรก ก็โดนอาจารย์เรียกคุยเลยจ้า… “น้องไม่นิ่งนะคะ อาจจะต้องปรึกษาหมอ ทานยา… “บลาๆๆ ซึ่งฟังครั้งแรกก็อึ้ง เหวอไปเลย แบบว่า เฮ่ยยยย หาหมออยู่ค่ะ แต่…มันต้องถึงขนาดกินยาเลยเหรอคะ? สารภาพว่าแอบนอยด์มากๆ แต่พอเวลาผ่านไป ได้รับรู้ถึงความใส่ใจที่อาจารย์มีให้ การสังเกตเด็กอย่างเทพ (ที่สแกนแล้วรู้เลยว่าเพี้ยนได้ตั้งแต่วันแรกเทพป่ะล่าาาา) การประสานงานระหว่างผู้ปกครอง คุณหมอ และอาจารย์ การอัพเดทเรื่องราวของเด็กๆ จากที่โรงเรียนผ่าน social media ได้เห็นลูกลิงในโมเม้นท์ต่างๆ ทำให้การรับมือกับลูกมีทิศทางที่สอดคล้องและมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากจนไม่รู้จะเอ่ยคำขอบคุณอาจารย์ยังไง มันตื้นตันอ่ะ

เข้ามาอยู่โรงเรียนนี้ตอนแรกก็กังวลมาก ตอนเปิดเทอมก็ออกตัวไว้ในกรุ๊ปผปค.ในห้องเลยว่าจิระเป็นแบบนี้นะ กลัวคนอื่นจะไม่เข้าใจและรับไม่ได้ กลัวผปค.ท่านอื่นๆ รังเกียจแล้วจะไม่ให้ลูกเล่นด้วย (ดราม่าละครไทย) แต่ไปๆ มาๆ ก็พบว่าเด็กๆ ที่นี่ก็เพี้ยนทั้งนั้น 555 อาจารย์เองยังบอกเลย เด็กที่สอบเข้าได้ก็ไม่ปกติแล้วล่ะค่าาา ก็ขึ้นอยู่ว่าจะเพี้ยนเลเวลไหน มีติ่งอะไรที่ทำให้แตกต่างกัน เลยกลายเป็นว่าแม่ๆ คุยกันเข้าใจกันช่วยเหลือกันได้ดีไปซะงั้น

พอเรื่องสังคมคลายกังวลได้ไม่เท่าไหร่ ภาวะสมาธิสั้นก็มาเยือน…โชคดีที่มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์บ่อยๆ อาจารย์ก็บอกว่าไม่ต้องเครียดค่ะคุณแม่ อาการนี้เราพบได้กับเด็กทั่วไปจะสังเกตได้ชัดช่วงอายุประมาณ 7 ขวบ ซึ่งอาการสมาธิสั้นถึงจะถูกจัดเป็นอาการบกพร่องแต่ก็ไม่ใช่ว่าลูกเราป่วย หรือน่ารังเกียจ คนส่วนใหญ่กลัวคำนี้ และมักจะไม่ยอมรับว่าลูกเป็นจนสายเกินไป เพียงแค่ว่าถ้าเรารู้ว่าเด็กมีภาวะสมาธิสั้น และได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้องมันก็เหมือนต้นไม้ที่มีไม้ค้ำยันประคองกิ่งที่แตกผิดที่ให้เติบโตขึ้นไปอย่างสง่างาม ซึ่งภาวะสมาธิสั้นก็มาจากหลายสาเหตุ อย่างของจิระอาจารย์ก็ส่งไปทำเทสว่าน่าจะมาจากอะไร สั้นแท้หรือสั้นเทียม ซึ่งพอผลออกมาก็ตามคาดว่าเป็นอาการเหล้าพ่วงเบียร์ของไอคิวประมาณนี้ เด็กที่ช้ากว่าเกณฑ์ กับเด็กฉลาดกว่าเกณฑ์ มีภาวะสมาธิสั้นคล้ายกัน แต่สาเหตุและการแก้ไขก็ต่างกัน การช่วยเหลือเด็กถามว่าจำเป็นมั้ย? ก็ต้องมาดูในรายละเอียดย่อยๆ ลงไปอีกว่าเด็กที่ถูกเรียกว่าเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น แค่อยู่ไม่นิ่ง เหม่อลอย ไม่ใส่ใจกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ หรือสั้นเพราะเป็นเด็กพิเศษมีภาวะ LD ในด้านต่างๆ พ่วงด้วยมั้ย (LD = Learning Disabilities ความบกพร่องในการเรียนรู้) ถ้าช่วยได้ถูกจุดก็จะดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจว่าเด็กแบบนี้เค้าเก่งอะไร อ่อนอะไร ต้องส่งเสริมหรือแก้ไขอะไร หรือแม้แต่เค้าคิดอะไรอยู่ ถ้ารับมือผิดๆ มองข้ามไปก็จะทำให้การใช้ความสามารถเฉพาะตัวไปในทางที่ผิดและผิดทาง ซึ่งก็น่าเสียดาย

ทีนี้เมื่อรู้ว่าลูกมี “ภาวะ” อย่างนี้จะรับมือยังไง เด็กทุกคนมีความแตกต่าง อาการที่พบไม่ใช่เด็กป่วย แต่เป็นลักษณะเฉพาะบุคคลของเค้า เราว่าในสมัยก่อนเพื่อนแสบๆ ที่ถูกหมายหัวก็คงประมาณนี้ เพียงแค่สมัยก่อนยังไม่เคยมีงานวิจัยมากพอที่จะแยกได้ว่า เด็กซนแบบไหนมาจากสาเหตุใดหรือมีผลยังไง แต่ในเมื่อในปัจจุบันพ่อแม่รู้เยอะ รู้มาก มีข้อมูล หมอ งานวิจัยมากมายที่จะช่วยได้ว่าเราจะสนับสนุนส่งเสริมหรือระงับสิ่งไหนที่เป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ของเด็ก อันนี้ก็แล้วแต่บ้านว่าจะเชื่อในทางใด เพราะบางบ้านก็รับไม่ได้ว่าลูกมี “ภาวะ” ไม่นิ่งที่แตกต่างจาก common และ moral โดยรวม…เบื้องต้นเลย ต้องแยกสิ่งที่ต้องปลูกฝัง สอน และบำบัดออกจากกัน พอมาอัพบล็อคแบบมีสาระแล้วดูเหมือนตัวเองจะเชี่ยวชาญ แต่เปล่าเลย แค่ต้องคอยเรียนรู้ที่จะลองผิดลองถูกเองว่าจะต้องดิลกับจิระยังไง เพราะแค่การกระทำหรือคำพูดที่ต่างกันก็มีผลกับพฤติกรรมได้ แต่จะให้บอกว่า อะไรคือใช่ อะไรคือไม่ใช่ เด็กแต่ละคนก็มี “ภาวะ” ที่ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายแต่ยังไงก็ไม่เหมือน…ก็บอกแล้วว่ามันยากกกก

อาการที่เข้าข่ายแอสเพอร์เกอร์ : ภาวะที่มีผลต่อตัวเอง
พอเรียนเทอม 2 นอกจากคุณหมอที่หาอยู่เป็นประจำแล้วก็มีโอกาสได้พบหมอจิตวิทยาเด็กที่ทางโรงเรียนทำนัดให้ ก็ด้วยความหวังว่า…นี่ก็ดีขึ้นตั้งเยอะ มีเพื่อนเยอะแล้วนะ ที่หมอเคยบอกว่าน่าจะเป็นแอสเพอร์เกอร์ก็อาจจะไม่ใช่ อาจจะไม่เป็นมั้ง แต่พอคุณหมอได้พูดคุยกับจิระ ประมวลผลจากเทส สอบถามจากอาจารย์ และเพื่อนๆ แล้วคำตอบก็ยังคงเดิม “จิระยังเข้าข่ายแอสเพอร์เกอร์ แต่จะระดับไหนยังไม่สามารถระบุได้ตอนนี้ จะต้อง follow ต่อไปอีก”…การย้ายโรงเรียนมาสังคมที่กว้างขึ้น ทำให้โลกของจิระกว้างขึ้น ด้วยแนวการสอน ซัพพอร์ทของที่บ้าน ที่จะต้องเน้นเรื่องการเข้าสังคม ย้ำให้เล่นกับเพื่อนนะลูก สอนให้ใส่ใจรายละเอียดของคนอื่น ก็ยังคงมาแนวนี้และดูท่าว่าจะต้องทำการบ้านกันหนักขึ้นกว่าเดิม…ป.1 เหมือนจิระจะมีเพื่อนมากขึ้น พูดถึงเพื่อนที่โรงเรียนมากขึ้น มีความสนใจร่วม “ดูเหมือนจะ” มีกลุ่ม มีเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ชอบรามเกียรติ์ ชอบหมากรุกเหมือนกัน มีการชื่นชมคนที่เจ๋งว่าสุดยอด แต่คุณหมอบอกว่าน้องยังมีความเป็นหุ่นยนต์อยู่เยอะ เป็นเหมือน os เป็น harddisk ที่ต้องป้อนข้อมูลให้เยอะที่สุด สอนเค้าให้เยอะที่สุดในช่วงนี้ เพราะจิระเองบกพร่องเรื่องการประมวลผล (SID > Link) ซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับเด็กในวัยเดียวกันที่ไม่มีปัญหาในช่วงประมาณป.3 ที่เด็กจะเริ่มจับกลุ่ม และจะเริ่มรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ “แปลก” ทางบ้านก็ต้องช่วยสอน ใส่ข้อมูลการเรียนรู้ตรงนี้เพื่อปรับความคิดหรือตรรกะจิระสไตล์ที่ทื่อๆ ทุกอย่างจะ base on fact เป็นประโยคเดี่ยวให้มากขึ้น ภาวะบกพร่องเรื่องการประมวลผลและการนำไปใช้จะยกตัวอย่างก็ประมาณเช่นถ้าเคยสอนว่า “นั่งทานข้าวด้วยกันควรตักปลาให้คุณยายนะคะ” โอเคเค้าตักปลาให้ แต่พอพรุ่งนี้กับข้าวไม่มีปลา เค้าจะคิดเองไม่ได้ว่า ควรตักผัดผักให้ เป็นเหมือน siri ที่ถามอะไรถ้าไม่มีในระบบก็ error (คุณหมอเกร๋เนอะเปรียบเทียบชัดเชียว)

ส่วนคำว่าเพื่อนของจิระที่คุณหมอได้คุยยังเป็นแค่เลเวลคนรู้จัก เค้ายังไม่รู้ว่า เพื่อนกัน ต้องปฏิบัติตัวยังไง เพื่อนกันเลิกเรียนเค้าก็รอกันบ้างนะ ห่วงเพื่อนบ้างนะ คิดถึงเพื่อนบ้างนะ ติดเพื่อนบ้างนะ นอกจากช่วงเวลาที่แชร์กันเรื่องที่สนใจร่วมกันแล้วตรงนี้จิระยังไม่มี เพื่อนในห้องที่แม่ดีใจนักหนาว่าจิระจำเพื่อนได้ตั้งแต่เลขที่ 1-39 ก็กลายเป็นว่า detect กับตัวเลขเช่นเดิม จำเลขที่ จำชื่อเพื่อน นามสกุลได้หมด แต่ถ้าคนไหนที่ไม่ได้มีความสนใจร่วมเรื่องเดียวกัน แม้จะเรียนห้องเดียวกันมาเกือบปีแล้วก็ยังจำหน้าเพื่อนไม่ได้ค่ะ -_- ซึ่งจุดนี้ก็เป็นหน้าที่ของครอบครัวที่จะต้องสร้างลูกให้เป็น “คน” กันต่อไป ถ้าจะเถียงในใจว่า อ้าว…แล้วความแนวๆ เกร๋ๆ อินดี้ๆ แบบนี้มันก็ไม่ได้เดือดร้อนใครนิทำไมจะต้องให้เด็กทุกคนเป็นเหมือนกัน ให้เค้าเป็นตัวของตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ณ จุดนี้ก็ถามหมอไปเหมือนกัน แต่คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่าภาวะ “เข้าข่ายแอสเพอร์เกอร์” ที่ไม่สนใจคนรอบข้างไม่แคร์สังคม มีความ self แบบไม่แคร์สายตาใคร อย่างเช่นเค้าใส่เสื้อศิลปะกันแต่จิระจะใส่กางเกงด้วยอ่ะ ใครจะทำไม ถามว่าอายมั้ย? ไม่ การทำอะไรที่ดูแปลกแยกเรียกร้องความสนใจ แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นไม่ใช่เรียกร้องความสนใจ แต่คำตอบง่ายๆ ก็คือแค่ “อยากทำอ่ะ” “ก็ชอบอ่ะ” ซึ่งจุดนี้ถามว่ามีปัญหามั้ย คุณหมอก็บอกว่าในช่วงเล็กคงไม่มี ก็น่าเอ็นดูดีนะ ดูเป็นเด็กแนวดูเป็นตัวของตัวเอง (อย่างที่ใครๆ มักจะเข้าข้างตัวเองให้สบายใจ) แต่มันเกิดจากความแนวที่ไม่ใช่ identity ของเด็ก เพราะสิ่งที่เค้าเป็นอยู่ตอนนี้มันคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ยังมีความคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถึงเพื่อนจะชอบ ขำ แต่ถ้าไม่สอนเค้าให้รู้ว่าสังคมปกติเค้าไม่ทำงี้กันนะเด็กที่เป็นแบบนี้ก็จะถูกเพื่อนๆ เลือกที่จะ “ไม่เอา” เป็นเด็กหลังห้องเมื่อโตขึ้น จะถูกแยกออกด้วยบริบทของสังคมโดยรวม แล้วถามว่า จำเป็นมั้ยที่จะต้องแคร์คนรอบข้างขนาดนั้น? อาจจะไม่จำเป็นสำหรับบางบ้านแต่สำหรับบ้านเราก็ยังเห็นว่าความสัมพันธ์เกื้อหนุนเอื้ออาทรเป็นลักษณะเด่นของความเป็นมนุษย์ก็คงจะไม่ปล่อยให้จุดนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใส่ใจ แล้วเค้าจะเสียใจมั้ย? ถ้าถามความรู้สึกของแม่ที่เจอว่าลูกถูกเพื่อน “ไม่เอา” เราเองคงรู้สึกเสียใจ รู้สึกแย่ถ้าเป็นอย่างนั้น แต่กลับกันในความรู้สึกเด็กแบบจิระก็อาจจะไม่สนใจอะไรเลยก็ได้ แล้วไงเหรอ? เค้าไม่เลือก ไม่เล่นด้วยแล้วไงเหรอ? เพราะเค้าก็ยังคงสนใจแต่ตัวเอง สนใจสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะสน โดยที่ไม่ได้แคร์ว่า สังคมคิดยังไง คนอื่นคิดยังไง มันก็จะเป็นการผลักเค้าเข้าสู่การอยู่คนเดียวมากขึ้นๆ ….ก้าวแรกของการเข้าสังคม การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีก็คือการรู้จักที่จะรักและถูกรัก รู้จักแคร์คนอื่นและรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นแคร์เรา ลูกจะเป็นที่รักของเพื่อนๆ และคนรอบข้างได้ยังไงถ้าเค้าไม่รู้ว่าการรักคนอื่นเป็นอย่างไร การที่เค้าจะเป็นที่รักของเพื่อนๆ ได้ก็ต้องรู้ว่าคนอื่นคิดอะไร รู้จักสังเกตความรู้สึกคนอื่นด้วย แต่มองอีกแง่การที่จิระไม่ sensitive กับเรื่องความสัมพันธ์มากนักอาจจะดีสำหรับสังคมปัจจุบันก็ได้ ดราม่ากันซะเหลือเกิ๊นนนน

สมาธิสั้น : ภาวะที่มีผลต่อการเรียนรู้
การที่ได้รู้ว่าสมาธิสั้นแบบเหล้าพ่วงเบียร์ของจิระ มีหลักการรับมือก็คือการต่อยอดความสนใจให้กว้างขึ้นจากสิ่งที่เค้าสนใจหลัก อันนี้ฟังดูง่าย แต่ก็ไม่ง่าย เพราะการที่จะต้องมานั่งสังเกตว่าลูกชอบอะไร องค์อะไร แล้วคอยบิ้วในสิ่งที่เค้าไม่ได้ชอบให้ไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่เค้าชอบ แค่คิดจะทำก็ยากละ….อาการที่เคยพบที่โรงเรียนก็คล้ายๆ กับตอนอนุบาล ก็คือ ถ้าชอบอะไรวิชาไหนก็จะอินนนนมากกกกก แต่ถ้าวิชาไหนไม่ชอบก็ไม่สนใจเลยเดินออกจากห้องไปเลยก็มี เอากะเค้าสิ จุดนี้คุณหมอและอาจารย์ก็แนะนำให้ลองเข้ากิจกรรมบำบัดซึ่งก็ลองดูว่าเด็กไปในแนวไหน อย่างเด็กบางคนก็จะวาดรูป แต่จิระไม่เอาเลยวาดรูปไม่เป็น ย่อยสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ แม่ก็ต้องช่วยไกด์ (อันนี้เดี๋ยวค่อยขยายความอีกที) จิระจะมาในแนวตรรกะการคำนวน อาจารย์ก็เลยแนะให้ไปลองเล่นหมากรุกหลังเลิกเรียน…เท่านั้นแหละ เข้าทาง หายใจเข้า-หายใจออกเป็นหมากรุกอยู่ช่วงนึง แทบจะทุกประโยคจะพ่วงคำศัพท์หมากรุกมาด้วย เช่น แม่จะโดนฟรอสละนะ ปาป๊าเดี๋ยวเหอะจิระจะเชคเมทเลย! จริงๆ แล้วที่ไปเล่นหมากรุกนี่อิแม่เห็นหมกมุ่นกับหมากรุกมากๆ ก็ไม่ค่อยเกทว่ามันจะช่วยยังไง ก็แค่เปลี่ยนสิ่งที่อินไปอินหมากรุกแค่นั้นเอง แต่พอลองปล่อยให้ไปได้ซักพักก็(คิดเอาเองว่า)จิระมีสมาธิในการเรียน(บางวิชา)ดีขึ้น มีการรอคอย เปิดใจให้เพื่อนมากขึ้น เริ่มยอมรับผลการแข่งแพ้-ชนะ หัดสังเกตคนที่เล่นด้วย ประเมินสถานการณ์ได้บ้าง แต่การเล่นแบบมีกติกาก็ยังง้องแง้งทริกกี้อยู่บ้าง ก็ลองดูว่าจะไปในทิศทางไหน ส่วนความเก่งกาจสามารถในการเรียนป.1 นั้น อย่าได้ถามว่าเป็นยังไง ฮ่าๆ จิระจะเก่งในสิ่งที่ไม่ได้สอบเท่านั้นแหละจ้า

สมาธิสั้นและการเล่นเกม : ภาวะติดเกม
หัวข้อนี้อยากโน้ตไว้เน้นๆ ตัวใหญ่ๆ เลย เพราะเจอมาเองกับตัว….แอบพลาดว่าตอนที่จิระจะสอบเข้าป.1 ก็เอาเรื่องเวลาว่างเยอะและมีเวลาเล่นเกมมาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่บิ้วสอบ และในเมื่อบิ้วแล้วก็ต้องทำตามคำพูด บอกว่าจะให้เล่นก็ต้องให้เล่นตามสัญญา แต่ผลที่ได้กลับมาสิ มันแย่….เทอมแรกลูกอินกับการเล่นเกมอย่างหนัก เข้าข่ายเด็กติดเกม ไม่ว่าเกมนั้นจะดูเป็นเกมที่มีประโยชน์ เป็นเกมที่สกรีนมาแล้วทั้งแม่และหมอว่าโอเคไปจนถึงเกมเบสิกอย่างหมากรุก (ที่พออยู่นอกกระดานจริง แปรสภาพมาอยู่ใน gadget ลูกอิฉันก็สามารถติ่งได้อย่างสุดโต่งเช่นกัน)…ถึงแม้ว่าจะจำกัดเวลาเล่นให้เล่นแต่หลังเลิกเรียน ให้เล่นในรถตอนรถติด ให้เล่นหลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ ไม่ว่าจะมีข้อแม้ใดๆ ก็ตาม แต่ภาวะติดเกมมันไม่ใช่การเล่นเกมในขณะที่มี gadget อยู่ในมือเท่านั้น…เด็กที่ติดเกม ในใจเค้าจะพะวงถึงว่าด่านต่อไปจะวางแผนยังไง อีกกี่ชั่วโมง กี่นาทีจะได้เล่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเค้าจะทำตามข้อตกลงได้ แต่สิ่งที่เค้าทำก็จะไม่ได้เต็ม 100 ไม่ได้ดีเท่าที่เค้าควรจะทำได้ โดยเฉพาะสมาธิการเรียน เค้าจะตั้งใจ นิ่ง สงบ ฟังได้ยังไงในเมื่อใจมันคอยจะนับเวลาที่จะได้เล่นเกมรอบถัดไป! ปัญหาเรื่องติดเกมนี่เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กในปัจจุบันเลย แต่ถ้าจะให้เลิกก็ไม่ใช่ห้ามแค่ลูกจะสำเร็จ แต่ควรจะห้ามพ่อด้วย เพราะ 80% พ่อๆ เล่นเกมและยอม”หยวน” ช่วงแรกที่คิดว่าไม่ได้แล้วต้องงดล่ะนะ ก็เริ่มลดเวลาลงมาเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายหักดิบ เลิกเล่น อยู่กับลูกห้ามเล่นเกมใน gadget ไม่ว่าใคร แล้วก็บอกตรงๆ ด้วยเหตุผลเลยว่าเพราะจิระยังคุมตัวเองไม่ได้นะ มัวแต่คิดถึงแต่เกมจนทำหน้าที่ตัวเองไม่เรียบร้อย เลยต้องพยายามเลิกก่อนนะ เราต้องมาพยายามด้วยกันนะ แรกๆ ก็ลงแดงร้องไห้ดิ้นพราดๆ แต่ไม่นานก็ทำได้และก็เลิกเกมใน gadget ไปเลย เกมหลายเกมเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีแม่ก็อยากให้เล่นแต่คงต้องดูว่าเด็กพร้อมแค่ไหนเมื่อไหร่อีกที ส่วนที่บ้านตอนนี้ก็คงเหลือแต่ board game เกมเศรษฐี หมากรุก เกมที่จะต้องเล่นกับคนอื่น และมีจุดจบของเกมไม่ใช่ up level ไปเรื่อยๆ ให้ได้เวิ่น….ห่างหายเลิกเกมไปได้หลายเดือน อิพ่อก็มาขอว่าให้ลูกเล่นมั่งมั้ยเค้าจะได้ไม่ต้องตาละห้อยมองตามเพื่อน ก็โอเคลองดู มาให้เล่นแค่วันเสาร์ครึ่งชั่วโมง แต่แค่กลับมาให้เล่น 2 ครั้ง เชื่อมั้ยว่าอาการงี่เง่ากลับมาเลยทันตา! พร่ำเพ้อจะลงแดง กิจกรรมหรือหน้าที่ที่เคยปรับจนรับผิดชอบได้เองแล้วก็เริ่มเป๋ มันแตกต่างกับช่วงไม่มีเกมเลยอ่ะ สรุปก็หักดิบอีกครั้ง ทีนี้ลบมันให้หมดไปเลย อดทน….ถ้ารักลูกอย่าให้ลูกติดเกม ถ้ารักลูกอย่าเลี้ยงลูกด้วยเกม ต้องใช้คตินี้เลย เพราะเวลาที่เราห้ามลูกเราแต่เห็นคนอื่นโยน ipad ให้ลูกเล่น ให้มันเงียบๆ สงบๆ แล้วมันจี๊ดอ่ะ เด็กแต่ละคนวุฒิภาวะต่างกัน เด็กแต่ละคนแบ่งเวลาได้ต่างกัน พ่อแม่ควรสนใจในกิจกรรมและพัฒนาการทางทักษะของเค้ามากกว่าการชื่นชมว่าลูกเล่นเกมเก่งเล่น ipad เก่ง รักสบายโดยการยื่น gadget ให้เพื่อให้พ่อแม่ไม่ปวดหัว…เกมเป็นสิ่งเร้าที่แรงกว่าการห้ามดูทีวีหลายเท่านัก บางคนก็อาจจะเถียงว่าลูกชั้นเล่นเกมยังเรียนได้เกรด 4 หมดเลยนะ ลูกชั้นแบ่งเวลาได้ ยินดีด้วยว่าคุณโชคดีแต่ลูกของคุณๆ”อาจจะ”ทำได้ดีกว่านี้ถ้าไม่ติดเกม จะพูดไปคงไม่เชื่อแต่สำหรับเรามันมีผลจริงๆ นะ // ปล. ที่เขียนถึงในบล็อคนี้หมายถึงการเล่นเกมแบบหมกมุ่นจนมีภาวะติดเกมนะคะ เด็กบางคนสามารถแยกแยะได้เล่นชิวๆ พอแล้วก็พอเอาผ่อนคลายไม่ได้ติดก็ไม่ได้พาดพุงถึงใคร ลูกใครก็สังเกตกันเอาเองเด้อค่าาา

สมาธิสั้นและขนมหวาน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าขนมหวานมีผลมากๆ กับเด็กบางคน มีช่วงนึงที่อาจารย์ทักว่าช่วงเช้าคุณแม่ให้อะไรหวานๆ ทานหรือเปล่าคะ เพราะจิระ alert มาก อยู่ไม่นิ่งเลย ยุกยิก วิ่งพลาน ไม่มีสมาธิ พอถามช่วงเวลาก็ใช่เลยว่าช่วงนั้นจิระกินโอวัลตินตอนเช้า -__-” แล้วพองดก็ดีขึ้น พอลองเทสให้กินช้อกโกแลตหรือลูกอมในช่วงวันหยุด อาการก็เป็นอย่างนั้นเลย ช่างแตกต่างกับวันที่ไม่มีขนมหวาน อย่างตอนไป outing กับที่ออฟฟิสแม่ก็ยิ่งชัด กินโอวัลติน กินนมข้นหวาน กินไอติม กินขนม ฮีวิ่งพลาน ไม่หยุดพูดเลย ตั้งแต่ 7 โมงเช้ายัน 5 ทุ่ม! การโดนคุมเรื่องขนมหวานช่างดูน่าสงสารกับเด็กประเภทนี้แต่ก็ต้องอดทนล่ะน๊าาา //ใครที่ยื่นขนมให้เด็กแล้วพ่อแม่เค้าปฏิเสธก็ช่วยเห็นใจหน่อยนะคะไม่ใช่ว่าเค้าใจยักษ์ (เหมือนที่อิฉันโดนค่อนขอดบ่อยๆ) แต่ว่าลูกเค้าอาจจะมีปัญหานะคะ //เด็กทุกคนชอบรสหวานแต่ไม่ใช่ทุกคนควรจะกินขนมหวาน ทุกสิ่งอย่างมีความเหมาะสมของมัน

การส่งเสริมการเรียนรู้ และกิจกรรมนอกเวลา
ที่ผ่านมาไม่ได้ให้เรียนพิเศษอะไรเลย ตอนเทอม 1 อยากให้เล่นกีฬาเคยสมัครเรียนเตะบอลให้ก็พรอพดีเด่นไปได้แค่ 2 ครั้ง ไม่รอด…ไปนั่งขุดหาไส้เดือนอยู่ข้างสนามนู่น -_-” อาจารย์บอกว่าน้องยังไม่พร้อมที่จะฟังคำสั่งกลุ่มเอาไว้ก่อนก็ได้ก็เลยโอเคจบ ไถสกู๊ตเตอร์เล่นอะไรไปตามมีตามเกิดเหมือนเดิมละกัน….ส่วนวิชาการ เคยคิดว่าจะไม่ให้เรียนอะไรเลยเพราะไม่ค่อยชอบลัทธิติวลูกให้จีเนียส ทำไมต้องเก่งกว่า ดีกว่าคนอื่นเหรอ? เรียนไปพร้อมๆ กับเพื่อน เก่งไปเท่าๆ กับเพื่อน เรียนรู้ไปด้วยกันกับที่ครูสอนในห้องได้มั้ย เอาเวลาไปเล่นให้สมกับวัยเด็กจะดีกว่ามั้ย? แต่พอเข้ารั้วสาธิตปุ๊บปีนี้มีเรียนอังกฤษ ก็เอาล่ะทำไงดีวะ อยู่อนุบาลก็เรียนแค่ ABC อื่นๆ ที่บ้านก็ยังไม่เคยสอนอะไรเลย ถึงจะไม่อยากให้เรียนแต่ก็ว่าจะไปลงเรียนพิเศษซะคอร์สนึงให้เป็นพื้นฐานดีมั้ย เพราะเด็กป.1 มาจากหลากหลายที่ ถ้ามาแบบเอ๋อๆ เลยนับได้แค่ A-Z แบบจิระอาจจะท้อ จะเรียนทันมั้ยเนื่องจากยังไม่ค่อยรู้ว่าแนวการเรียนการสอนของโรงเรียนไปในทิศทางไหน แต่พอไปทดลองเรียนวันแรก จนท.ก็มาเชิญออกเลยจ้า “น้องยังไม่พร้อมนะคะ น้องอยู่ไม่นิ่งเลยค่ะ คงยังไม่สามารถเรียนได้” สรุปไม่ได้เรียนไปอีกที่ จนตอนประชุมศิษย์-ลูกเลยถามอาจารย์ว่า ถ้าไม่เรียนพิเศษอะไรเลยได้มั้ยคะ เด็กจะสามารถเรียนกับเพื่อนๆ ได้-ทันมั้ยคะ ความหมายโดยนัยก็คืออยากจะถามอาจารย์ว่าจะรับได้กับเด็กที่เริ่มจากไม่รู้อะไรเลยได้มั้ยนั้นแหละ และคำตอบที่ได้รับจากทางคณาจารย์ป.1 ก็คือ ที่นี่ไม่สนับสนุนให้เด็กเรียนพิเศษนะคะ เพราะเด็กจะอีโก้ คิดว่าตัวเองรู้แล้ว และในห้องก็จะไม่ตั้งใจ ฉะนั้นแนวทางการไม่เรียนพิเศษที่คุณแม่ถามมาก็ขอตอบว่าไม่จำเป็นต้องเรียน แค่สอนและทบทวนในสิ่งที่เรียนไปและเห็นในชีวิตประจำวันก็พอ….โป๊ะเชะ เข้าทาง

ไอ้ที่ว่าจะๆ น่าจะๆ เรียนเลยเหลือแค่เรียนเปียโนที่เริ่มมาจากอยากให้กล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรง ความสัมพันธ์ของการมอง คิด และประสาทสัมผัสประสานกันได้ดี แต่ที่พูดมาย่อหน้าเมื่อกี๊มันก็แค่ข้ออ้างที่ดูมีหลักการเพราะลึกๆ ที่อยากให้เรียนเพราะอย่างน้อยถ้าโตขึ้นก็ยังพอมีความสามารถพิเศษอะไรติดตัวไว้บ้างละเว้ ผู้ชายเล่นดนตรีได้มันเท่ออก….ทีนี้ เรียนเปียโนแล้วเป็นยังไง….ตอนเล็กๆ เลยก่อนที่จะเริ่มเรียนก็ดูเหมือนจิระจะชอบดนตรีนะ ครูที่โรงเรียนหรือครูเปียโนที่ลองทดสอบดูมักจะชมว่าน้องมีแววนะคะ ดูจะ gifted ดนตรีหรือเปล่าน่าส่งเสริมนะคะ แต่เอาเข้าจริงมัน “ไม่ใช่” สิ่งที่ทำให้ใครๆ มักจะชมตอนจิระเล็กๆ ว่าดูมีแววเพราะฮีอ่านโน้ตได้ค่อนข้างเร็ว สามารถจำโน้ต จังหวะ เครื่องหมายและแยกเสียงได้ค่อนข้างเป๊ะ คุณสมบัตินี้ถ้าจะมองอีกแง่ก็คือความสนใจด้าน”คณิตศาสตร์และตัวเลข”มากกว่า”ดนตรี” เพราะเมื่อเรียนๆ ไปก็จะพบว่าจิระไม่ได้ถนัดเลยที่จะควบคุมนิ้วให้ไหลลื่นไปตามโน้ตที่เห็นตามจังหวะที่ฟัง และพอเล่นไม่ได้ก็พาลจะเลิกเรียน เบื่อไม่อยากเรียน ไม่ยอมซ้อม ง้องแง้งๆ หลายๆ ครั้งอิป๊าก็อยากจะให้เลิกเรียนเพราะเหมือนจะไม่ได้พัฒนาและไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่สุดท้ายมารดาธิปไตยก็เป็นใหญ่อยู่ดี ก็อดทน ทั้งขู่ทั้งปลอบ บิ้วให้เรียนมาเรื่อย พยายามไปส่งให้เรียนได้ครบตามเวลา จาก 15 นาทีไหลๆ มา 30 นาทีไหลๆ จนสามารถอยู่ได้ครบ 1 ชม.ในคลาสเรียน และหลังจาก input แบบเป็นระบบมาได้เกือบ 2 ปีจากที่เคยไม่ยอมซ้อมเลย ก็เริ่มซ้อมทีละนิด พอโตขึ้นพัฒนาการของร่างกายพร้อม เริ่มคุมกล้ามเนื้อนิ้วได้ ก็เริ่มเล่นได้ ก็เริ่มภูมิใจ พอภูมิใจในตัวเองก็จะเริ่มซ้อมมากขึ้น มากขึ้น ทีนี้จิตใจก็จะถูกเติมเต็มและได้เห็นว่าสิ่งที่ได้มาคือความอดทน ความพยายาม และสมาธิ แต่จะให้ตอบว่าลูกมีความถนัดทางดนตรีมั้ย? บอกเลยว่าไม่ แต่ได้มาขนาดนี้อิแม่ก็ภูมิใจมากมายแล้วจ้า

บันทึกช่วงป.1

  • เทอม 1 อินกับรามเกียรติ์มากถึงมากที่สุด สามารถเขียน family tree วงศ์ยักษ์ วงศ์พระราม และวงศ์ลิง จำลักษณะเด่นตัวละคร หัวโขนต่างๆ ได้แม่นเป๊ะ เล่าฉากแต่ละฉาก ลำดับความสัมพันธ์ของเรื่องราวได้ดี
  • สนใจแผนที่ ประเทศต่างๆ เงินตรา อัตราแลกเปลี่ยน รายได้ ซึ่งก็ต่อยอดจากลูกโลกไปได้อีกเยอะ ทั้งเรื่องสังคม วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ การคำนวน
  • ให้ความร่วมมือกับงานกิจกรรมประจำปีป.1 ได้ดี มีมาซ้อมที่บ้าน ตื่นเต้นเห่อชุดการแสดง อดทนซ้อมโขนช่วงเย็นแม้ว่าวันจริงจะยุกยิกๆ จนเหมือนกับไส้ศึกลิงก็เถอะ
  • การทำงานในห้องเรียนและการบ้าน ยังขาดความปราณีต ค่อนข้างชุ่ย ใจร้อน รีบๆ ทำให้เสร็จแต่ได้ไม่ดี ยังประมาทอยู่
  • ทักษะทางด้านร่างกาย การออกกำลังกายไม่ค่อยดี ต้องพยายามออกกำลังกายวิ่งเล่นให้เยอะกว่านี้ ในส่วนนี้อาจจะเพราะที่บ้านไม่มีบริเวณ เป็นเด็กโตในรถด้วย ก็ต้องหาเวลาให้มากขึ้นทั้งพ่อแม่ลูก
  • ชื่นชมสิ่งที่เจ๋งๆ จุดเด่นของเพื่อนแต่ละคนอย่างใสๆ รู้สึกว่าจุดนี้จะเป็นจุดเด่นที่ค่อนข้างจะน่ารักมากของจิระ เพราะไม่ว่าใครจะเก่งอะไร เค้าจะชื่นชมจริงๆ โดยไม่มีน้ำเสียงหรือท่าทางอิจฉา หรือจะต้องแข่งขันกับใครเลย ตรงจุดนี้ที่ผ่านมาก็ระวังผู้ใหญ่รอบข้างที่มักจะถามว่าสอบได้ที่เท่าไหร่ ได้ที่ 1 หรือเปล่า เพื่อนได้เยอะทำไมเราไม่ได้มั่งล่ะ ไหนได้เกรดเท่าไหร่ คนนั้นเค้ายังได้ 4 หมดเลยนะ… อะไรอย่างนี้ จะทักเด็กชมเด็กเรื่องเก่งน่ะโอเค เด็กทำดีก็ต้องชม ชมก็ชมแค่พอดีไม่ต้องเวอร์ให้ทะนงตัว แต่เรื่องเกรดอย่าไปยึดติดมากจะได้มั้ยคะ…พ่ออิฉันคุณตาจิระ สอนไว้ว่า “เกรดไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต” แต่เท่าที่เห็นหลายๆ บ้านการที่ผู้ใหญ่ไม่ได้ระวังกับคำถามแบบนี้ มันทำให้เด็กก้าวไปสู่ยุคของความเห็นแก่ตัว ฉันต้องชนะ ฉันต้องเป็นที่ 1 ฉันจะแพ้ไม่ได้ และไม่รู้จักคำขอโทษ
  • การดูแลตัวเองและ EQ ยังค่อนข้างแย่ ยังไม่สามารถแยกเวลาจัดการหน้าที่ตัวเองได้เท่าที่ควร แต่ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ฝึกกันไป
  • ภาวะการควบคุมอารมณ์ ก็ยังคอนข้างแย่ ยังงอแง และใช้การร้องไห้แทนเหตุผล ไม่ยืดหยุ่นในคำตอบที่คาดหวัง

หลักๆ ที่พอจะสรุปในช่วงป.1 ก็คงประมาณนี้ ความน่ารักแบบอินดี้ๆ ที่พบก็มีเยอะอยู่ ก็ยังรู้สึกโชคดีที่จิระไม่ออกแนวไฮเปอร์ทำร้ายร่างกายรุนแรงคุมอารมณ์ไม่อยู่ แบบนั้นอิฉันคงเหวอ….เอาไว้มาอ่านย้อนหลังปีหน้าเช็คดูว่าที่ลองผิดลองถูกกันมาจะเติบโตไปเป็นยังไง…ส่วนรายละเอียดจุกจิกๆ ยังคงอัพ memo ใน fb แทนนะจ๊ะ 🙂 

ปล. เอนทรี่นี้ไม่สามารถจะวินิจฉัยภาวะสมาธิสั้นของเด็กคนใดได้นะคะ กรุณาปรึกษาคุณหมอด้านจิตวิทยาเด็กจะถูกต้องที่สุด //เอนทรี่นี้แค่อธิบายและเป็นบันทึกคร่าวๆ ในภาษาแม่ที่ไม่ใช่หมอจะพอเข้าใจในภาพกว้างๆ ได้เท่านั้นค่ะ

Jira's world

Written by pikarin

March 4, 2014 at 16:28

Posted in my monkey

Tagged with ,

บันทึกเอนทรานซ์ฟันน้ำนม KUS50

เรื่องของเรื่องเริ่มมาจาก…

โรงเรียนแรกที่บ้านเราตัดสินใจเลือกให้จิระจิระเป็นรร.เล็กๆ แนวบูรณาการผสมการทดลองจริงประมาณ Project Approach แต่ก็จะเน้นเล่นซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เลือกที่นี่ก็คิดว่าการที่ได้เรียนที่นี่ดูแล้วลูกมีความสุข และอิป๊าอิแม่ก็จะได้สนุกไปกับการได้เรียนรู้และค้นหาอะไรใหม่ๆ ไปด้วยกัน

แต่ช่วงอ.1  เรียนไปได้พักใหญ่แล้ว (เข้าตั้งแต่ตอ.) แม้เราจะตะหงิดๆ ว่าทำไมจิระจิระยังเป็นเด็กที่มีภาวะอารมณ์ช่วงเด็กเล็กค่อนข้างมีปัญหา ร้องไห้เก่ง(มาก) ไม่อยู่ในกฎกติกา มักสนใจอะไรแล้วอินแบบเวอร์ๆ หมกมุ่นมากๆ เช่นบ้าปฏิทิน บ้าธงชาติ บ้าตัวเลข เล่นอะไรซ้ำๆ เล่นคนเดียว ไม่ค่อยเล่นกับเพื่อน หรือพูดคุย เล่นนั่นนี่เหมือนเด็กอนุบาลคนอื่นที่เราแอบดูเท่าไหร่ ถามอะไรเกี่ยวกับเพื่อนเกี่ยวกับโรงเรียนก็ไม่ค่อยจะยอมเล่า แต่ก็ไม่ได้เอะใจว่าผิดปกติอะไร ได้แต่คิดว่าลูกแสบ ซน องค์ลงกว่าคนอื่น จนได้คุยกับครูที่รร.ถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่รร.มาเปรียบเทียบกับที่บ้าน ก็เลยได้ไปปรึกษาหมอนิตยา ณ วิชัยยุทธ เบื้องต้นหมอบอกว่าน่าจะอยู่ในกลุ่ม high function ของ Autistic spectrum disorder แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแนวไหน ก็สังเกตอาการ follow กันมา 2 ปีกว่าจึงได้รู้ว่าจิระเข้าข่าย Asperger’s Syndrome ที่ค่อนข้างจะมีปัญหากับอารมณ์และสังคม พอได้รู้ก็เตรียมรับมือได้ถูก รู้ว่าจะต้องพยายามปรับความเข้าใจยังไง พูดยังไง หลอกล่อยังไง ไม่งั้นก็คงคิดแต่ว่าลิงองค์ลงบ่อยและแม่ก็จะหงุดหงิดกับเค้าไปเรื่อยแน่ๆ ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่เลือกเรียนรร.แนวนี้ซึ่งพอเป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ เรียนรู้ด้วยการเล่นอยู่แล้ว เรื่องวิชาการไม่ซีเรียสทำเกรด แม่กับป๊าก็ใช้เวลามาสนใจเรื่องการปรับพื้นฐานอารมณ์กับจิระจิระได้มากขึ้น และพอเรารู้ว่าต้องรับมือยังไง ทางรร.และผปค.ท่านอื่นๆ ที่รร.ก็ช่วยกันเต็มที่ จนพัฒนาการตรงนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องมาคิดต่ออีกว่าที่บ้านวาดฝันนี่มีแค่อ.3 แล้วป.1 จะยังไงดีก็มองว่า รร.ที่น่าจะเลือกให้เป็น step ต่อไปก็อยากจะให้เป็นแนวนี้อีกเพราะว่าถ้า้ไม่ต้องปรับตัวมากเพราะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของการเรียนแบบนี้ ทางบ้านก็จะได้โฟกัสเรื่องการดูแลได้ง่ายขึ้น แต่พอลิสท์ออกมาแล้วรร.แนวนี้ที่ใกล้บ้านเรามันช่างหายากและสอบเข้ายากซะเหลือเกิน (-_-)

ตอนนั้นกำลังจะขึ้นอ.2 ก็ชิววววว คิดว่าอีกตั้ง 2 ปี จบอ.3 ถึงจะไปสอบ ที่ไหนได้ พอมาหาข้อมูล ดันกลายเป็นว่าตามเกณฑ์สาธิตแล้วไอ้ลูกชายจะต้องไปสอบตอนจบอ.2 นี่แหละ แว้ก!!!!!! และที่กะว่าจะไปสอบปสม.อ.3 ถ้าไม่ได้ก็ค่อยไปสาธิตเกษตรปีต่อไป ดันกลายเป็นว่าตามเกณฑ์อายุ 3 สาธิตหลักเลือกได้ครั้งเดียวที่เดียวเพราะมันสอบวันเดียวกัน! (ไม่ได้รู้เรื่องเลย เสร่อจริง)

อิแม่ก็ล่กสิคระ ทำไงดีวะ รร.ที่เรียนก็ยังไม่ได้เรียนอ่านเขียน เพิ่งจะเริ่มเรียนพยัญชนะ ก-ฮ เองอ่ะ แล้วลิงก็ยังอยู่ไม่นิ่ง จะไปสอบกะเค้าไงล่ะเนี่ย…..

แต่ยังไงก็ตาม คติของบ้านเราคือถ้ายังไม่ได้เริ่มก็อย่าเพิ่งท้ออย่าเพิ่งถอดใจ ก็มานั่งคุยกันพ่อแม่ว่าเอาไงดี เอามั้ย สู้นะปีนึงเต็มๆ ลองดู อย่างน้อยก็ได้ลอง ดีกว่าไม่ได้ลอง ยังไงคนไม่ได้ก็เยอะกว่าได้แหละน่า….พอคิดงี้ สรุปกันได้ปุ๊บ ก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่ม ก็พอดีว่าช่วงจะเปิดเทอมอ.2 มี๊กุ๊ด ณ สามแม่วัวคุยกับมี๊บีที่ลูกเข้าสู่รั้วสาธิตไปได้แล้ว มาบิ้วไปเรียนติวเข้าสาธิต ในใจตอนนั้นก็แอบแอนตี้อยู่นะว่าอะไรวะอนุบาลก็ต้องเรียนพิเศษแล้วเหรอ ก็ไปปรึกษาครูที่รร.ว่าเอาไงดีคะ ควรเรียนหรือไม่ยังไงดี แล้วเค้าสอนอะไรกัน? แต่พอฟังว่าการเรียนพิเศษติวสาธิตจะเป็นการเรียนคอนเซปท์ของเชาว์ต่างๆ การฝึกให้เด็กคุ้นเคยกับการฟังคำสั่ง นั่งกับที่ รู้ว่าขั้นตอนการสอบคืออะไร ไม่ใช่การให้ท่องจำ ก็อ่ะ…ลองดู

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น….เพราะพอคิดว่าจะเรียน ติดต่อครูรสที่เพื่อนแนะนำมาให้ไปก็เต็ม ไม่สามารถเรียนได้ จะไปครูอื่นก็ไม่รู้จักไม่มี reference (ออกแนวเพื่อนบอกว่าไงไปไหนไปด้วยนะ)

จะทำยังไงล่ะทีนี้…เพื่อนผู้แสนดีก็ถามครูให้อีกที โอเคว่าน่าจะได้เป็นครูอีกท่านนึงไม่ใช่ครูรสสุดฮอต ไอ้เราก็ไม่รู้จักหรอกครูรสครูเลิฟ เพราะไม่เคยคิดจะให้ลูกติวมาก่อนก็โอเคครูอะไรก็ได้มั้ง แต่ก็โชคดีไปว่าพอจะเรียนจริงๆ มีเด็กในคิวครูรสแคนเซิล เลยได้เสียบเรียนไปแบบไม่ได้รู้เร้ยว่าคนอื่นเค้าจองคิวกันตั้งแต่อยู่ในท้อง!!! OMG!!!

ช่วงแรกของมหากาพย์การติวสอบก็ดำเนินไปเนิบๆ สัปดาห์ละครั้งแบบช่างมันเถอะ

แต่สิ่งสำคัญที่บ้านเราคิดและทำอยู่เสมอนอกจากการจับลูกนั่งทำโจทย์คือการให้ลูกได้เรียนรู้จากของจริง ไม่ว่าจิระจิระจะอินอะไร ชอบอะไรถ้าพาไปได้จะพาไปทุกที่ ถ้าอยากลองอะไรก็ให้ได้ลองให้ได้รู้ เน้นการใช้เรื่องที่สนใจเป็นฐานแล้วก็ขยายความสนใจออกไป

เมื่อตั้งใจแล้วว่าปีนี้ทั้งปีจะอยู่กับลูกก็เริ่มปรับมุมมองและคุยกันมากขึ้นแล้วก็ได้สังเกตว่าจากเด็กที่ยังอ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้ ยังไม่เคยเรียนเขียนอ่าน พอชอบอะไรสนใจอะไรเค้าจะเปิดรับทุกสิ่งอย่าง เช่นช่วงเทอม 2 ของอ. 2 ที่ลิงอินรถไฟฟ้าอิแม่ก็พาไปตะเวนทัวร์รถไฟฟ้ากันจนครบทุกสถานี (ที่เล่าไปในบ๊อกที่แล้ว >> ลิงซ่าพาทัวร์ทั่วกรุง รูธจัดเต็ม! อีแม่ตายยยยย T^T) MRT ARL BTS BRT route) เค้าก็เริ่มจำชื่อสถานี อยากอ่านป้ายได้ เริ่มเขียน วาดแผนที่ แม่ก็เริ่มต่อยอด ค่อยๆ สอนเรื่องตัวสะกด คำอ่าน ตอนก่อนนอนอ่านนิทานกันก็ให้ลองอ่านเรื่องซ้ำๆ เดิม แล้วลองให้อ่านคำที่ง่ายๆ เอง หัดคิดค่ารถ จ่ายเงิน ทอนเงิน จำนวนเงินคงเหลือ แผนที่ ทิศทางสายรถไฟ คำนวนระยะทางการต่อรถว่าไปทางไหนต่ออะไรจะเร็วกว่า ถูกกว่า บลาๆๆ

จากเคสรถไฟฟ้า มาเคสอื่นๆ ถัดมาขึ้นอยู่กับว่าหัวข้อที่จิระกำลังสนใจอยู่คืออะไร ไปเที่ยวไหนก็พยายามสอนให้กว้างขึ้นในส่วนของความรู้รอบตัว ช่วงนี้แหละที่ทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งอย่างคือการเรียนรู้สำหรับเด็กจริงๆ อะไรที่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้อยู่แล้ว มองข้ามไปหรือไอ้นี่ก็ต้องอยากรู้ด้วยเหรอ มันก็คือการเรียนรู้ทั้งนั้น ทุกสิ่งที่ลูกถามจะพยายามตอบและขยายความจนกว่าจะหมดคำว่า “ทำไม” ถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจก็เปิด google จนแทบจะอ่าน Wikipedia เป็นนิทานก่อนนอน อย่างไปต่างประเทศก็ชวนกันเอาลูกโลกมาดู ดูตั๋วเครื่องบิน ดูความแตกต่างของเวลา time-zone  วัฒนธรรม (เช่นคนไทยกินข้าว คนฝรั่งเศสกินขนมปังตอนเช้า) สภาพอากาศ ดูเทอโมมิเตอร์ การเดินทาง ถามทาง เงินแต่ละชาติเรียกแตกต่างกัน ค่าเงินก็ต่างกัน (เล่นบ่อยๆ เช่นถ้าเงินประเทศนี้ 1 = ….บาท แล้วถ้ามีเงิน ….บาท จะเท่ากับกี่…..?) ให้รู้ว่าโลกนี้มีประเทศอื่นๆ ภาษาอื่นๆ ก็คุยกันไปต่อยอดไปเรื่อยไม่ว่าจิระจะถามอะไร ป๊ากับแม่ก็จะพยายามตอบ ตอบ และถามกลับ เอามาช่วยกันตั้งคำถามเสมอ (ถึงจะขี้เกียจจนอยากหัดให้ search อ่านเองแต่ก็ยังมิสามารถอ่ะนะ) หรือไปทะเลก็จะเล่าเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง ก้อนหิน พรายน้ำ ดูก้อนเมฆด้วยกัน ก็ต่อยอดได้ เมฆมาจากไหน ทำไมถึงเป็นเมฆ ท้องฟ้า รุ้งกินน้ำ เฉดสีต่างๆ โลกร้อน ทำไมก่อนฝนตกต้องร้อนมาก ทำไมน้ำทะเลมีสีเขียว บ้านของปูอยู่ที่ชายหาดขุดรูเป็นเม็ดๆ แล้วถ้าคลื่นซัดปิดบ้านปูจะออกมาได้มั้ย ไปบ้านคุณย่าก็ไปเลี้ยงไก่นับไข่เก็บผัก เล่นท่องสูตรคูณแม่ 1 โหลกันคล่องเชียว เวลามาออฟฟิสกับแม่คุยกับเพื่อนแม่ เรื่องการลงทุน หุ้น ขาดทุน กำไร ซื้อมา ขายไป ไอที ไม่ว่าจะถามอะไร สงสัยอะไรลุงๆ ป้าๆ เพื่อนๆ แม่สอนให้หมด จนบางคนถามว่า เด็กขนาดนี้แกจะเล่าให้มันฟังทุกเรื่องขนาดนี้เลยเหรอวะ?

ครึ่งปีแรกผ่านไป ที่เรียนติวเข้าสาธิตไม่กระเตื้องเลย เทสออกมาก็โหล่ๆ ตลอด ไปสอบพรีเทสที่ปสม.ก็ได้ที่เกือบ 600 ก็ทำใจกันล่ะว่า ไม่ได้แหงล่ะนะ เตรียมหา option เลยเหอะ และในเมื่อบ้านเราทำให้สิ่งที่คิดว่านี่คือการเรียนให้ดูเป็นเล่นมาตลอด พอเป็นยังงี้ลูกก็ชิว ทุกอย่างฮีเล่นหมด แต่จะได้ใช้กับข้อสอบมั้ย? ไม่มีใครรู้… ไม่เคยเครียดใส่เลย ไม่เคยต้องบังคับให้ซีเรียสกับการทำโจทย์เลยเพราะเท่าที่เห็นมันก็ยากอยู่นะ ดูแล้วก็เหนื่อยแทน ได้แต่คุยกันว่าถ้าเมื่อไหร่เค้าบอกว่าพอก็พอนะจะเลิกให้ไปเรียน แต่จิระก็ชอบไปเรียนครูรสมาก ขนาดไข้ขึ้นก็ไม่ยอมหยุด บอกว่าอยากไปเรียนเพราะครูสอนสนุกแม่สอนแทนไม่เห็นสนุกเลย แป่ววว (โจทย์ที่เป็นการบ้านก็ไม่ค่อยจะยอมทำนะ แต่แม่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร ยังคงปล่อยชิววว)

ถึงจะตั้งเป้าไว้ที่สาธิตประสานมิตรเพราะใกล้บ้านแต่พอต้องมาคิดถึง option เสริม ตามเกณฑ์อายุแล้วก็เลยลองไปสอบเซนต์ดอมินิก (ใกล้บ้านที่สุด) สอบปุ๊บรู้ผลเลย ตอนสัมภาษณ์ผปค.อธิการทำหน้ากังวลๆ บอกว่าข้อสอบทำได้แต่น้องไม่นิ่งเลย ยังไม่น่าจะพร้อม เห็นว่าอยู่อ.2 กลับไปเรียนอ.3 ให้จบก่อนดีมั้ย? ในขณะที่พูด ไอ้เจ้าจิระก็ปีนโต๊ะอธิการโชว์เลย….สุดท้ายก็ต้องปฏิเสธไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าที่เห็นลิงลัลลาๆ เค้าแอบคิดอ่ะ เค้าแอบเครียดว่าทำไมเค้าสอบได้แต่ไม่ได้เรียน จิระไม่ได้บอกแม่ไม่ได้บอกป๊าแต่อาการมันไปออกกับการเรียนเปียโน ถึงขั้นร้องไห้เล่าให้ครูเปียโนฟังต้องพักเรียนเปียโนกันไปช่วงนึงเลยทีเดียว….อิแม่ก็อึ้งไปเลย ทำไงดีวะทีนี้ ปลอบๆ ปรึกษาครูที่รร.อีกพักใหญ่ แต่ก็เลยกลายเป็นว่าต้องเตรียมตัวปลอบลิงสนามใหญ่ยังไงดี หรือว่าจะชิ่งไม่สอบล่ะ ก็ลังเลๆ

พอกลางๆ เทอม 2 การเรียนติวสาธิตเริ่มเข้าเค้า….ที่ส่งไปเรียนทุกวีคๆ แม่เพิ่งจะเก็ทว่า ที่จริงการเรียนครูรสไม่ได้สอนเด็กให้ทำแต่โจทย์ แต่เป็นการเรียนที่สอนพ่อแม่ให้เข้าใจ “การนำเทคนิคไปคุยกับลูกในภาษาที่เด็กเข้าใจ” เกี่ยวกับคอนเซปท์พื้นฐานที่เด็กควรจะรู้เป็นยังไงมากกว่า (แต่โจทย์ก็ย๊ากกกยากกกก) และสอนให้ผปค.ทั้งหลายพึงระลึกว่า ลูกตัวเองไม่ได้เก่งที่สุดและจงอย่าคาดหวังในตัวเด็กเกินกว่าที่เด็กแต่ละคนเป็น การไปเรียนครูรสเริ่มเห็นผลช่วงปลายเทอม 2 โดยเฉพาะเรื่องวินัย ความอดทน ความตั้งใจ การยอมรับผลสอบที่น้อยกว่าครั้งก่อน การเคารพกติกาโดยรวมของห้อง ป๊ากับแม่สามารถสอนลูกได้ว่าทำไมเราถึงไม่เอาคะแนนตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำไมเราถึงต้องพยายามให้มากขึ้น ตั้งใจขึ้น เทียบกับตัวเองให้แข่งกับตัวเองเสมอ ครูมีเทคนิคในการหลอกล่อเด็กยังไง อิแม่แอบลองหมด เอาเรื่องที่เจ้าตัวสนใจมาล่อ พยายามสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นจากตัวเองให้ได้ พอลิงเปลี่ยนเรื่องอิน แม่ก็เปลี่ยนเรื่องล่อ

(งานนี้ที่เซอร์ไพรซ์มากคือเวลาเรียนติวจะมีเทสเป็นระยะๆ จิระจิระจะตั้งกฏให้ตัวเอง ถ้าสอบแต่ละครั้งได้น้อยกว่าครั้งก่อน จะอดเล่นเกม 1 วีค แต่ก็มีแรงจูงใจว่าถ้าทำได้ดี สถิติใหม่จะได้เล่นจำนวนวันเพิ่ม เนื่องจากเกมเป็นสิ่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่มาตลอด เพราะฮีจะหมกมุ่นมากไม่ยอมทำไม่ยอมสนใจอะไร จนต้องมีกฎบ้านลิงคุมเวลาให้เล่น gadget ได้เฉพาะวันอาทิตย์ 1 ชม.เว้น 3 ชม.) ถึงยังไงคะแนนเทสก็ยังห่วยได้โล่ห์อยู่ดี ไม่ได้มีหวังให้กระเตื้องซะเลยล่ะ โดยเฉพาะการสังเกต photo hunt ทั้งหลายไม่เอาเลย ข้ามตลอด ไม่ยอมทำเลย แต่จะค่อนข้างเด่นเรื่องเลข ครูก็เลยแนะนำว่าน่าจะลองไปเกษตร เพราะน่าจะเข้าแนวน้องมากกว่าประสานมิตร

แต่ถึงจะเด่นเลขไม่ต้องติวไรมากแต่ปัญหาของเกษตรคือข้อสอบเน้นภาษาไทย และการฟัง เนื่องจากที่ไปเรียนติวเป็นการเรียนเชาว์ ไม่ได้มีการเรียนภาษาไทย ที่รร.ก็ยังเพิ่งจะเริ่มเรียนพยัญชนะต้นก็หนักแม่หน่อยล่ะนะ ที่จะต้องสอนให้ลูกลิง อ่านออก เขียนได้ สะกดถูกภายใน 3 เดือน! ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าภายใน 3 เดือน จิระอ่านนิทานเองได้เป็นเล่ม อ่านป้ายทางด่วน ป้ายต่างๆ เขียนแชทกับแม่ได้ ที่สำคัญ….สะกดถูกด้วย ส่วนการฟังบ้านเราใช้เวลาอยู่ในรถนี่แหละเล่นเกม “ฉันกับพ่อ…” ง่ายๆ คือเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ตามแต่ที่จะนึกออกโดยมีจุดเริ่มต้นเรื่องคือ “ฉันกับพ่อ…” หรือถ้าวันไหนขี้เกียจคิดก็เปิดวิทยุฟังแล้วถามคำถามจากเรื่องที่ฟังกันไป…ก็สอนกันง่ายๆ แบบนี้แหละ

การเล่นให้เป็นเรียนเมื่อเด็กพร้อม เค้าจะไปได้เองอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่รร.บ้านวาดฝันได้พร่ำบอกมาจริงๆ

พอโล่งใจได้กับเลขและภาษาไทย อิแม่ก็ยังคิดว่าข้อสอบเชาว์ต่างๆ คงยังไม่ไหวอยู่ดี เพราะอย่างที่บอกว่าลิงชอบไปเรียนแต่ไม่ชอบกลับมาทำ แต่พอ 2 เดือนสุดท้ายก่อนสอบ จิระจิระบ้าทำโจทย์มากๆ ขอทำโจทย์เองตลอด ต้องมีติดรถติดบ้านติดออฟฟิส เรียนวันเสาร์ครึ่งวันที่รร.ก็ไม่ยอมโดดเลย อยากไปเรียน จะตื่นเต้นทุกครั้งที่มีวันเรียนพิเศษ ขยันเวอร์จนแม่นอยด์ว่าถ้าเอ็งขยันแบบนี้แล้วถ้าสอบไม่ได้กรูจะตอบจะปลอบยังไงดีวะ….

โค้งสุดท้ายก่อนสอบ….ทุกสิ่งอย่างก็ดำเนินไปตามรูทีนทุกวัน พาไปออฟฟิส ไปเรียนครูรส ปล่อยให้ทำโจทย์เล่นไป (โจทย์ติวกลายเป็นของเล่นไปแระ) จนถึงวันจะสอบ ลูกเครียดป่าวไม่รู้ แต่ก็ไม่น่าจะเครียดไรนะ เพราะแม่กะป๊าก็ไม่บิ้วอะไรมากไปกว่าที่ทำปกติ เน้นเรียนให้เป็นธรรมชาติ (แต่มีล่อนิดนึงว่าถ้าสอบได้จะได้เล่นเกมทุกวันนะเพราะมีเวลาว่างจากการทำการบ้านมากกว่าเซนต์ดอฯ) รู้แต่ว่าจิระจิระนิ่ง นิ่งขึ้นมากกก มากกว่าตอนไปสอบเซนต์ดอมินิกแบบเทียบไม่ติดเลย ความรู้สึกบางอย่างบอกว่า เค้าพร้อมนะ น่าจะพร้อมแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากหวังเพราะความหวังมันน้อยมากจากสถิติสอบที่ผ่านๆ มา ครูเบียร์เองก็บอกตลอดว่าน้องผิดเยอะเกินไปนะคุณแม่ ก็ทำใจด้วยแต่ก็อย่าเพิ่งท้อ ไหว้พระเยอะๆ (-___-)”

พอสมัครสอบเรียบร้อยแล้ว จากที่กะว่าลองไปสอบๆ เหอะ ได้ลองสนาม ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงคนอกหักก็เยอะกว่า ปากก็พูดไปแต่ลึกๆ แม่เครียดว่ะ บอกตรงๆ ถึงจะเครียดก็ต้องแอบเครียด ไม่ให้รู้ (กับอิพ่อก็ไม่ให้รู้ เดี๋ยวเสียฟอร์ม) เวลาคุยกันก็ต้องพยายามเล่าเรื่องคนที่สอบไม่ได้นั่นนี่นู่นให้ฟัง ถามหยั่งเชิงเป็นระยะว่าถ้าไม่ได้จะเป็นยังไง จะเสียใจมั้ย  คือเตรียมการปลอบใจลูกมาเป็นเดือนว่างั้นเหอะ เพราะถึงลึกๆ อยากจะหวัง แต่ความหวังมันช่างริบหรี่ % ที่จะต้องปลอบมันเยอะกว่าจริงจัง ที่สำคัญกลัวจิระจะเสียใจเพราะอุส่าห์ตั้งใจซะขนาดนี้

ว่าแล้วก็ทนไม่ได้ เวิ่นกะซะมีก็ไม่ได้ เพราะจะเสียฟอร์มก็เลยขอลากแม่ๆ ที่ลูกลงสนามปีนี้มาเวิ่นเว้อด้วยกันเม้าท์กันใน line จนในที่สุดก็จัดหนักหลังจากเห็นเจ้าตัวตั้งใจมาก จะให้อิแม่จะชิวต่อไปก็ทนไม่ไหวล่ะ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไม่มีจริงมนุษย์ไอทีอย่างอิชั้นจัดให้ครบทุกสิ่งอย่าได้ถามว่าเชื่อมั้ย ไล่ตามลิสท์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายสร้างกำลังใจให้ตัวเองนิ่งซะหน่อย เอาวะไหนๆ ก็โค้งสุดท้าย ไปเลยค่ะลูก…เดินสายไหว้เจ้ากันค่าาาา

ถามว่าเยอะมั้ย? ตามนี้เลย

ตั้งแต่ปีใหม่ไหว้พระ 9 วัด ณ จังหวัดน่าน มาอาทิตย์ก่อนสอบก็ไหว้พระพรหม พระพิฆเณศ พระตรีมูรติ ไหว้ศาลพระภูมิที่ออฟฟิส อนุสาวรีย์ 3 บูรพาจารย์ พระพิรุณทรงนาค ศาลตายายเจ้าพ่อเจ้าแม่หนองผักชีตามลิสท์มี๊บีเป๊ะๆ พกยันต์ใส่เป๋าเสื้อ เหน็บพระหลวงปู่ เขียนคาถาใส่พลาสเตอร์แปะอก รดน้ำมนต์ฮู้เผาเจ้าแม่กวนอิมก่อนเที่ยงคืน กินซูกัสกะปีโป้ลงอาคมปลุกเสก สวดมนต์ 9 จบ อธิฐานขอให้คุณตาคุณยายมาบอกข้อสอบจิระด้วย….. ใคร…เก่งแค่ไหนจะสู้ป่ะล่าาา

(แต่ที่บนมีแค่ไหว้ดอกกุหลาบศาลพระภูมิที่ออฟฟิส และทำความสะอาดลานอนุสาวรีย์ 3 บูรพาจารย์เพราะตอนไปไหว้แล้วเลอะเทอะขัดตามากแค่นั้นแหละ)

เช้าวันสอบ ไปถึงสนามสอบ 7 โมงกว่า นั่งรอในรถ กินข้าวกันไป เลิกเล่นทำโจทย์บังคับพักได้แล้ว เตี๊ยมลิงทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับคำสั่ง ย้ำให้ฟังให้ดีๆ นะใช้ปากกาสีอะไร วงกลมหรือกากบาท ครูบอกให้ทำอะไรก็ทำนะ ครูบอกให้พักไปเข้าห้องน้ำก็ไปนะ ล่อเอาไว้ว่าทุกอย่างที่ครูให้ทำเป็นคะแนนหมด บลาๆๆๆ และโล่งใจมากว่าฮีบ่นปวดอึ จัดการเรียบร้อยก่อนส่งตัวเด็กจนได้…..พอส่งตัวเสร็จ หันไปหันมารอบๆ แอบตกใจ นี่ชั้นอยู่สถานปฏิบัติธรรมหรือไร….แม่ๆ ผปค.รอบด้านนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิกันให้เพียบ!!!!

(-_______-)

รอจนสอบเสร็จ ในความรู้สึก ณ วันนั้นมันโล่งเลยนะ จิระจิระทำได้ดีมากตั้งแต่รอเข้าแถวส่งตัว จนแม่รับกลับ นิ่ง สงบแต่ไม่เซื่อง ยิ้มแย้ม แต่ไหงถามว่าทำได้มั้ย เค้าให้สอบอะไรบ้าง ฮีตอบ “อย่าถามได้มั้ยแม่ รู้มั้ยว่าจิระเหนื่อย” พอก่อนนอนลองอีกที ถามจิระ…วันนี้ข้อสอบยากนะ รู้สึกยังไงบ้าง ถ้าสอบไม่ได้จะเสียใจมั้ย คนสอบเยอะแยะเค้ารับแค่นิดเดียวนะ? เด็กน้อยส่ายหัวตอบแม่ “ไม่เสียใจคับ วันนี้ไปสอบสนุกมากกก เด็กๆ เยอะมากกกก จิระไม่เคยเจอเด็กๆ เยอะขนาดนี้เลยอ่ะ แม่รู้มั้ยที่ไปสอบมีด่านกินคะแนนเด็กร้องไห้ด้วยนะ”

โตขึ้นมากมายไอ้ลูกชาย….จิตใจเข้มแข็งขนาดนี้แม่กะปาป๊าภูมิใจมากเลย 😀

หลังจากนั้นไม่ว่าจะถามอะไรเกี่ยวกับข้อสอบฮีก็จะบ่ายเบี่ยงๆ บอกว่าทำได้ๆ “จิระคิดว่าน่าจะผิดซัก 3-4 ข้อนะ” แต่เวลาเห็นแม่ๆ แชร์ข้อสอบที่ขุดมาจากลูกได้กันแล้วเอามาถาม จิระจิระตอบผิดหมดเลยวะคะ T_T ยิ่งเราคาดคั้นลูกเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งไม่ตอบ แต่ถ้าข้อไหนที่ถามแล้วเค้ารำคาญเค้าก็จะอธิบายให้ฟังว่าเค้าถามประมาณนี้ๆ มีช้อยส์อะไรบ้าง….ไอ้ตรงมีช้อยส์อะไรบ้างนี่แหละที่ทำให้ไฟแห่งความหวังแว้บขึ้นมาอีกนิด เพราะส่วนตัวสมัยก่อนเวลาทำข้อสอบได้ มักจะจำช้อยส์ได้หมด ถึงข้อที่เราถามไปจะผิดแต่ถ้าข้ออื่นๆ เด็กสามารถจำช้อยส์ได้แสดงว่าเค้ามีสมาธิที่ดี ซึ่งแค่นี้ถึงจะสอบไม่ได้มันก็น่าภูมิใจแล้ว ว่าสิ่งที่เราพยายามกันมามันเห็นผลอยู่บ้างนะ

พอสอบเสร็จแล้วแถมทำได้ดีเกินคาดซะด้วย ให้แม่กะป๊าสบายใจได้ระยะนึง แต่ช่วงที่รอผลนี่แหละช่างรู้สึกแสนนานเหลือเกิน เมื่อไหร่จะพ้นๆ ผ่านๆ ไปซะที ยิ่งนานก็ยิ่งเครียด…อย่างที่บอกว่า เครียดตรงที่จะปลอบใจเจ้าตัวยังไง…. คืนก่อนประกาศผลอิแม่ก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ต้องหานั่นนี่นู่นมาทำให้ยุ่งๆ เข้าไว้จะได้เลิกเวิ่น พอถึงคืนวันเสาร์นี่ไม่ได้นอนกันเลย กะจะทำตัวให้ยุ่งจนถึงเช้าประกาศผลตี 5 แก้ง่วงด้วยการนั่งดูโอชิน และแชท…..ครั้นชวนซะมี อิป๊าก็ไม่ยอมไป บอกว่าจะรีบไปทำไม ไปเช้าไปสายก็ไม่น่าจะได้เหมือนกันนั่นแหละ (งานนี้อิชั้นเดิมพันความพยายามไว้ด้วยกระเป๋าใหม่อีกใบ ถึงจะดูไม่มีหวังแต่พอมีของเซ่นเช่นนี้ก็ขอหวังหน่อยได้ป๊ะ​?) แต่เราก็ว่าจะพุ่งไปดูผลที่บอร์ดเองก่อนลิงจะตื่น จะได้มีเวลาทำใจ และพอจะมีเวลาปรับสภาพตัวเอง ให้สร้างสตอรี่ปลอบใจลูกได้

ขึ้นรถไปตอนตี 4 กว่า บอกแม่ๆ ในแชทว่าอย่าเพิ่งบอกผล (ว่าจิระไม่ติด) นะ อยากไปดูเองทำใจเอง… ดันรีบ ลืมพิมพ์คำในวงเล็บ….ไม่ทันล่ะ มี๊บีส่งรูปมาให้ กรี๊ดลั่น taxi น้ำตาไหล แว้บนึกถึงเสียงไอ้ลูกชายตอนไปเดินสายไหว้เทพเจ้ากันขึ้นมาเลย “ขอให้จิระสอบได้ ขอให้จิระสอบติดสาธิตเกษตร ขอให้ข้อสอบออกที่จิระชอบๆ นะคับ ขอให้คุณครูใจดี ขอให้เพื่อนๆ จิระสอบได้ด้วยนะคับ”

ดูบอร์ดแล้วเพื่อความชัวร์ ถึงจะเห็นกับตาก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเลย…. กลับมาบ้านยังสั่งไม่ให้ทุกคนบอกว่าสอบได้ กะว่าจะพาเจ้าตัวไปไล่หาชื่อเองที่บอร์ด ตอนแรกลิงมีอิดออดนิดนึงว่าไม่อยากไป พอถามเข้าก็บอกว่า “ไม่อยากไปดูบอร์ด กลัวสอบไม่ได้” พอถามว่าแล้วทำไมคิดว่าสอบไม่ได้เหรอทำไมล่ะ? ฮีบอก “ก็จิระไม่ได้กินนมในห้องสอบอ่ะ คุณครูเค้าบอกว่า เด็กๆ ต้องกินนมเกษตรจะได้สอบได้แต่จิระไม่ชอบกินนมเลยไม่ได้กินนี่นา” ถึงจะขำแต่แม่กะป๊าก็ยังใจร้าย ไม่บอกนะ ยังแอบปลอบใจกันไปว่า คนอื่นเค้าก็ไม่ได้ตั้งเยอะ เราทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่แล้ว เราก็ต้องยอมรับผลนะ ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ได้แม่กะป๊าก็ภูมิใจที่จิระทำมาได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ คุยกันแป๊บนึงก็โอเค ก่อนออกจากบ้านไปดูผลแม่ถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ถามจริงๆ แล้วถ้าสอบไม่ติดจะเสียใจมั้ย?” จิระตอบได้ประทับใจมาก… “ไม่คับ ถ้าสอบไม่ได้จิระก็จะกลับไปเรียนที่บ้านวาดฝัน ไปเป็นพี่อ.3 จะได้ดูแลน้องเล็ก เพราะปีนี้จิระจะได้เป็นพี่โตแล้วนะ”

ไปถึงที่รร.สาธิตเกษตร ปล่อยให้เจ้าตัวไปไล่หาชื่อเอง เจอเอง ลิงดีใจมาก วิ่งมาแถ่กแม่เลย อวดใหญ่ตื่นเต้นใหญ่ว่าจิระสอบติดแล้วแม่!!! ดีใจมากๆ เลย

แม่ก็ดีใจ

ในที่สุดความหวังแม้จะแค่ 1% ก็ยังมีหวังจริงๆ นะ

จิระสอบได้เกษตร แม่ได้กระเป๋า ฟิน…….

นี่ไงเจอแล้ว!!!

นี่ไงเจอแล้ว!!!

Note :

• การพาลูกไปสอบไม่ใช่แค่การพาไปเพื่อทำข้อสอบแข่งกับคนอื่นเท่านั้น แต่การสอบสอนทั้งลูกและพ่อแม่ให้รู้จักความพยายาม ความอดทน ความตั้งใจ ความสมหวัง ความผิดหวัง ฯลฯ… คืออีกก้าวหนึ่งของการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้และปรับตัวให้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

• ดีใจที่เลือกที่จะให้ลูกไปสอบและขอบพระคุณคุณครูทุกท่านที่สอนสั่งให้คำแนะนำ เป็นกำลังใจจนโค้งสุดท้าย

• ขอบคุณครูแจน ครูสุ ครูกัญ ครูปู ป้าหว่าง ป้าหมู พี่วิ พี่เริญ และบุคคลากรทุกๆ ท่าน และอนุบาลบ้านวาดฝันที่เติมเต็มและค้นพบจุดเด่นเล็กๆ ของเด็กแต่ละคน หล่อหลอมด้วยการเรียนการสอนแบบธรรมชาติให้ได้เรียนรู้และเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ

• ขอบคุณครูรสและทีมงานทุกท่าน ถ้าไม่ได้เรียนก็คงไม่รู้ว่าลูกถนัดอะไรไม่ถนัดอะไร และทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วการเลือกรร.สาธิตให้เด็กแต่ละคนมีแนวทางต่างกัน

• ขอบคุณครูจ๋า ครูกิติมศักดิ์ของจิระและแม่ที่คอยให้คำแนะนำดีๆ เทคนิคการสอนเจ๋งๆ มาตลอด

• ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะสอบคงไม่ได้ใกล้ชิดและพูดคุยต่อยอดการเรียนรู้กับลูกได้ขนาดนี้

• การติวสอบสาธิตไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เคยคิด อย่างน้อยสิ่งที่จะได้ติดตัวไปจนโตคือหลักการคิดและเชาวน์ที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้

• เด็กแต่ละคนเหมาะกับแต่ละสิ่งไม่เหมือนกัน อย่าคาดหวังในสิ่งที่เค้าไม่ถนัด แต่จงส่งเสริมในสิ่งที่ช่วยทำให้เค้าอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ

• อย่าคาดหวังกับโรงเรียนและครู ถ้าผู้ปกครองไม่พยายามศึกษาในสิ่งที่ลูกกำลังเรียนรู้ไปด้วย

• ที่สำคัญ…ขอบคุณจิระ ที่สู้ด้วยกันมาจนถึงที่สุด อดทน พยายาม ตั้งใจจริงๆ และทำได้ดีที่สุดอย่างเหลือเชื่อ

รักจิระจิระที่สุด no.32 @KUS50

ถ่ายรูปติดบัตรสอบ

ลิงซ่าพาทัวร์ทั่วกรุง รูธจัดเต็ม! (อีแม่ตายยยยย T^T) MRT ARL BTS BRT route

ไม่ได้เขียนบ๊อกนานชาติ!!!!!! ตั้งแต่มี FB และ IG นี่ทำเสียนิสัยนะ มือไม้แข็งโม้ดดดด หลังๆ เวลาอัพเตตัสแล้วมันก็หล่นแล้วมันก็หาย เลยพยายามอัพเป็น Caption กำกับรูปไว้แทน จะได้ไม่หล่น

แต่เรื่องนี้ไม่อัพไม่ด๊ายยยยย ขอเก็บไว้ให้เจ้าตัวอ่านเล่นตอนโตดีกว่า อิอิ

ถ้าใครเคยติดตามบ๊อกจิระจิระมาบ้างแล้วคงไปจำได้ว่าฮีจะชอบอะไรเป็นพักๆ บ้าเป็นช่วงๆ ตั้งแต่เด็กไล่กันมาเลย สี ธงชาติ ตัวโน้ต ลิฟท์ ตัวเลข หนอน บลาๆๆๆ จนมา ณ นาวคือ “รถไฟฟ้า”

อันว่าเรื่องลิงบ้ารถไฟฟ้านี่เริ่มมาได้ 3-4 เดือนที่แล้ว ตั้งแต่ไปเรียนพิเศษกับครูรสหลังเลิกเรียน แล้วรีบจนต้องไปขึ้น BTS นั่นแล…ตะแรกอีแม่ก็ไม่ได้คิดว่าจะอินขนาดนี้ แต่ก็โอเคค่ะ ลูกชอบ แม่จัดให้ ค่อยๆ เสริมเรื่องราวอื่นๆ โดยเฉพาะการสะกดคำ เขียนอ่านภาษาไทยใส่เข้าไปในทฤษฎีการเรียนรู้ไปด้วยเลย จากที่เริ่มจำ BTS map สายต่างๆ ได้ ชี้ชวนแม่กับป๊าไปทริปหมอชิต แบริ่ง สนามกีฬา วงเวียนใหญ่ ลามมาถึง MRT ไปหัวลำโพง บางซื่อ ยัน Airport Rail Link ไล่เก็บ RC มาจนครบหมดแล้วเมื่อตอนวันเกิด up level ไปเรื่อยๆ ให้แม่และผองเพื่อนได้อึ้งเป็นระยะๆ เมื่อวานนี้ก็ลองของจริงกันล่ะ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า…เมื่อวันก่อน พาจิระจิระไปแว๊นสกู๊ตเตอร์ที่สวนจตุจักรหลังเลิกเรียน แล้วฮีก็เห็นว่ามันมี “รถไฟฟ้าด้วย!!!” จะไปให้ได้ พอแม่บอกว่าแม่เหนื่อยแล้ววันนี้อยากนั่งรถป๊ากลับสบายๆ ก็ง้องแง้งจะ “ไปคนเดียว” บอกว่าโตแล้ว 5 ขวบแล้ว จำได้หมดแล้วด้วยว่ากลับบ้านยังไง ก็เลยต้องมาตกลงกันว่า ไว้วันอาทิตย์จะมาลองกัน แม่จะแค่ไปเป็นเพื่อนนะ แต่ให้จิระพาแม่ไป จะดูสิว่าที่บอกว่า “ไปเองได้แล้ว โตแล้ว” เนี่ยไปเองได้จริงเร้ออออ

พอเช้าวันอาทิตย์มาถึงลิงก็ตื่นเต้นแต่เช้า เตรียมตัวอย่างดี เลือกเสื้อผ้าพร้อมมาก เพราะปสก.ทริป “รถไฟฟ้า” ที่ผ่านมามันหนาว เลยต้องใส่เสื้อแขนยาวไว้ด้วย (โอเคล่ะว่าขั้นตอนนี้แม่ช่วยเลือกตัวที่ใส่บางๆ เป็นเลเยอร์ได้ให้ ไม่งั้นก็ขี้เกียจใส่แจ้กเก็ตถอดเข้าถอดออกอ่านะ) จัดกระเป๋าเองด้วย ที่น้าๆ ป้าๆ หลายคนถามมาว่า “ในกระเป๋ามีอะไรอ๊ะ?” ก็มีดังนี้จ้า
1. โป๊ะโกะ 1 แผ่น เผื่อหาห้องน้ำฉุกเฉินไม่ได้ (อันนี้แม่เตรียมให้)
2. น้ำเด็ก (น้ำอื่นก็ไม่เอา ไม่เท่ ไม่ใช่น้ำเด็ก)
3. ยาหม่องสติ๊ก
4. ผ้าพันคอ (เผื่อหนาว)
5. เกมส์ 15 puzzle แบบพกพา
6. บัตร Rabbit และบัตร MRT
7. แผนที่! ใช่แล้ววววว ไอเท็มนี้ขาดไม่ได้เลยนะ ดูทู้กกกวัน ถึงขั้นเอากรรไกรมาตัดส่วนโฆษณาทิ้ง บอกว่า “เอาเฉพาะแผนที่เก็บไว้ ถ้าไม่ตัดแล้วแผ่นมันใหญ่จิระจับไม่ถนัด” (โปรดสังเกต มีเขียนชื่อตัวเองไว้ในแผนที่ด้วยนะเฟ้ย แผ่นนี้ห้ามหาย!)

ตามแผน…ปาป๊าจะไปส่งที่ MRT พระราม 9….แวะกินข้าวแล้วเราจะแยกกันตรงนี้ จิระลง MRT เดทกับแม่ 2 ต่อ 2 ให้ป๊าขับรถไปจอดที่สวนลุม แล้วค่อยมาเจอกันที่ BTS ศาลาแดง ซึ่งก่อนออกเดินทาง ลิงก็ขอ Map และดินสอมาขีดๆ เขียนๆ อีแม่ก็ยังไม่ทันเอะใจนึกว่าดูเล่นๆ เหมือนเดิม ในใจยังคิดว่า ‘จุดนัดพบที่ศาลาแดง ก็ง่ายดี ลง MRT ไปขึ้นสีลมก็ถึง’ จนฮีบอกว่า “แม่…เดี๋ยวเราจะไปทางนี้นะ………xxx” แล้วก็เริ่มเขียนรูธ (ลากเส้นในแผนที่) พร้อมคำบรรยาย!!!

เส้นทางวันนี้ : MRT พระราม 9 –> เพชรบุรี –> ARL มักกะสัน –> พญาไท –> BTS สยาม เปลี่ยนเส้นทางไปสายสีลม –> ศาลาแดง เจอปาป๊า –> ช่องนนทรี แวะกินขนม –> BRT ราชพฤกษ์ –> BTS วงเวียนใหญ่ –> ศาลาแดง –>แล้วค่อยไปเล่นสกู๊ตเตอร์ที่สวนลุม (ที่จอดรถไว้)!!!!!

กี๊ดดดดดดด!!!! ToT
พูดเล่นใช่มั้ย? ใช่มั้ย? ก็เลยบอกไปว่า “ถ้าไปทางอย่างนี้โหดมากนะ แม่ไปไม่ถูกหรอกจิระพาแม่ไปละกันนะวันนี้ ไหนๆ ก็เป็นวันเล่นเกมส์แล้วเรามาลองกัน…แม่จะไม่บอกนะว่าไปทางไหนต่อ จิระต้องดูป้าย ดูทาง ถามทางเองนะถ้าตรงไหนไปไม่ถูกแล้วถือว่าจบเกมส์นั่ง taxi เลยโอเคป๊ะ?” ก็ OK

แม่ก็เลยมีหน้าที่เดินตาม ตาม ตาม และตาม ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสมัยนี้มันแจ๋วเวอร์ เก่งกว่าที่คิดเยอะเลย
จาก MRT พระราม 9 ทางลงทางขึ้น วิธีเข้า วิธีใช้บัตร ลงทางไหน ประตูไหน รอรถตรงไหน ชานชาลาฝั่งไหน ดูป้ายชื่อสถานีนี่ลิงชิวมาก….พอถึงสถานีเพชรบุรีที่ตัวเองยังไม่เคยขึ้น พอขึ้นมาก็งงๆ แต่ก็เดินตรงไปที่ Map ก่อนเลย ว่าไป ARL ต้องออกประตูไหน อ่านก็ยังอ่านไม่ออกจริงจัง แต่ที่จำได้ก็จะพอมีแค่ชื่อสถานีต่างๆ อย่างคำว่า ‘อโศก’ ‘ดินแดง’ ที่คิดว่าฮีคงจำเป็นภาพไว้ในหัวหมดแล้ว ถ้าตัวไหนอ่านไม่ได้แม่ก็ไกด์ให้เป็นตัวสะกดให้นิดหน่อย แต่ไม่อ่านให้ฟัง ถ้าพยายามอ่านแล้วไม่ได้จริงจังก็ให้ไปถามยาม ถามเจ้าหน้าที่เองว่าต้องทำไงต่อ…ก็บอกแล้ว….ว่าวันนี้จะแค่เดินตาม!

เหมือนเล่น rally กันเลยทีเดียว….ออกจากสถานีเพชรบุรีมาแล้ว ไปทางไหนต่อหว่า? อีแม่ก็ไม่บอก สุดท้ายฮีใช้ไม้ตาย เดินตรงไปถามพี่วินมอไซค์

จิระ : “พี่คับ Airport Rail Link ไปทางไหนค้าบบบบบ”
พี่วิน : “ไม่มีนะคับ Airport Rail Link มีแต่ Airport Link ไปทางนู้นนน”
จิระ : “เค้าเรียกว่า Airport Rail Link นะคับ ไม่ใช่ Airport Link” (-_-)’ แม่เห็นท่าไม่ดีเลยต้องรีบขอบคุณพี่วินแล้วจากลา

ก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ทำทางเชื่อมใต้ดินให้ไปถึงสะดวกๆ ฟะ? ทางที่เดินไป ARL ต้องไต่ขึ้นมาข้างบนเดินข้ามถนน ข้ามทางรถไฟ ฝุ่นตลบ ฟุตบาทเจ๊งๆ โคตรอันตราย….แต่ก็มาถึงจนได้ตามกติกา แม่เดินตามเฉยๆ ถ่ายรูปอย่างเดียว

พอแม่ไม่บอกทาง ก็ชิวไปเรื่อย เราไม่รีบ! ให้หาทางไปเอง ดูป้าย ถามทางไป พี่ยาม เจ้าหน้าที่ ห้องขายตั๋ว ผอ.จิระพบปะเจ้าพนักงานมาหมดแร้วววว จนพาแม่มาถึง BTS พญาไทจนได้ เก่งมาก!! ที่เห็นหันหน้ามานั่นไม่ใช่โพสท่าถ่ายรูปนะฮะ ฮีเดิน moon walk บอกว่า “สถานีนี้คนเยอะ จิระต้องเดินถอยหลังดูแม่ไว้ ปั๊ดเดี๋ยวแม่จะหลง”…ต่อ BTS มาเปลี่ยนสายที่สยาม ก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมถึงชอบสายนี้นัก เพราะมันมีไฟปิ๊บๆ ว่าถึงสถานีไหนแล้วและ Map สถานีต่อขยายนี่เอง ไม่ยอมนั่งกันเลยทีเดียว จ้องอยู่แต่ไอ้เนี่ย (สายหมอชิต-แบริ่งไม่มีไฟนะจ๊ะ รถคนละรุ่น) พอมาดักปาป๊าที่ศาลาแดง มีโทรจิกโทรตามซะด้วย บ่นๆๆๆ “ทำไมป๊ามาช้า ปาป๊าอยู่ไหน รถไฟไป 4 ขบวนแล้วนะ!” พอกำลังเสริมมาเจอกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่ออีก 1 สถานี ถึงช่องนนทรีก็แวะเติมพลังกันซักนิดที่ Dean&Deluca ก่อนแล้วเก๊าะเดินไปลองของใหม่ – BRT – นั่นเอ๊งงงงง

ลิงก็ไม่เคยไป แม่ก็ไม่เคยไป ป๊าก็ไม่เคยไป RC นี้เลยยอมอนุญาตให้ปาป๊าเป็นตัวช่วยซะหน่อย ไปไหน ยังไงน๊าาาา…

เนื่องจาก BRT เป็นรถเมล์ จิระก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอมีถามสิ่งที่ฟังๆ ระหว่างทางอย่างตั้งใจเป็นระยะๆ เช่น “มีวัดตั้ง 3 วัดแน่ะ!” “มีพระราม 3 กับพระราม 9 ด้วย!” แต่ก็แอบบ่นว่า “ทำไม BRT มันเดินไกลจัง ทีหลังไม่มาแล้วนะ” ฮ่าๆๆ สุดสาย – ราชพฤกษ์ – ก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยค้าบบบบ….ตกบ่ายฝนเริ่มตั้งเค้ามามืดตึ้บ เห็นท่าไม่ดีเลยรีบนั่ง taxi มาขึ้น BTS วงเวียนใหญ่กันต่อ จุดนี้กว่าจะได้เข้าข้างในก็โอ้เอ้อยู่นานพอควรเพราะที่วงเวียนใหญ่มี Model สถานีรถไฟฟ้า กับ Backdrop สถานีส่วนต่อขยายโครงข่ายในอนาคต รถไฟ เรือเมล์ นู่นนี่ครบวง ซึ่งลิงก็สนใจเวอร์~


ขึ้น BTS วกกลับมาถึงศาลาแดงยังไม่ทันลงพายุก็ซัดซะงั้น แถมลิงปวดฉี่ด้วยเลยต้องแวะไปพักกันที่ธนิยะ แล้วให้ปาป๊าผู้น่าสงสารกางร่ม(ที่เพิ่งซื้อตรงนั้น)ฝ่าฝนไปเอารถมารับตรงนี้

เก็บแต้มกันมาครึ่งวัน แทบหมดแรง ส่วนแบตมือถืออีแม่เหลือ 1% ณ ศาลาแดง!! เก่งมากกกก นึกว่าจะไล่ถ่ายไม่จบ reality เทปนี้ซะแร้ววว ขึ้นรถปุ๊บก็รีบชาร์ตต่อชีวิตกันเลยล่ะงานนี้…พอฝนหยุดก็ไปแว๊นต่อที่สวนนาคภิรมณ์ ท่าเตียนเพราะแวะไปรับคุณยายที่ไปดูคอนเสิร์ตที่โรงละครแห่งชาติแถวนั้น เลยได้สถานที่แจ่มๆ ไว้ออกกำลังกายอีกที่ซะงั้น! สวยเริ่ด ริมแม่น้ำ บรรยากาศดี๊ดี…กลับบ้านกว่าจะสลบก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม ใช้ถ่านอะไรอึดชมัด!

จากทริปมาราธอนครั้งนี้…

คาดว่าถ้าข้อสอบเข้าป.1 มีถามเรื่องการคมนาคมเครือข่ายนี่ลิงต้องได้เต็มแน่ๆ นอกจากชื่อสถานีและจุดเชื่อมต่อต่างๆ แล้วยังจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างประตูรถเปิดด้านไหน ที่สถานีไหนบ้าง / เสาสถานีแต่ละสายสีต่างกันด้วยนะ / ถ้าเด็กสูงเกิน 90 ซม.ต้องซื้อบัตรเด็ก / ถ้าเป็นคุณยายถึงจะได้ใช้บัตรสีชมพู / ถ้าบัตรเติมเงินมันใช้แตะ ‘ปี๊บ!’ แต่ถ้าบัตรที่ซื้อจากเครื่องหยอดๆ จะสอดเข้าไป แต่ถ้าบัตร MRT ARL จะเป็นเหรียญนะ / เวลา’ปี๊บ’เข้าไปต้องดูเงินด้วยว่ามีกี่บาท แล้วออกมาจะเหลือเท่าไหร่ (อันนี้ได้หัดลบเลขไปในตัว) / ถ้าเหลือเงิน 5 บาทต้องไปเติมเงินแล้วนะ / ถ้ากดบัตรจากตู้ต้องกดสถานีก่อนค่อยหยอดเงิน / ทำไมจากสยามไปหมอชิตถึงเป็น N1 N2 N3 แล้ว N6 ไปไหน? ทำไมกระโดดไป N7 เลย? / แล้วทำไม W1 ถึงมีแค่สนามกีฬาฯ สถานีเดียว? / อย่างเรื่อง N E W S แม่ก็มาสอนกันต่อยอดไปว่า N = North สายเหนือ ไปบ้านคุณย่าที่น่าน W = West สายตะวันตก ไปกาญจน์ไปบ้านพี่ฟลัวร์ E = East สายตะวันออก ไปแบริ่ง ไปพัทยา S = South สายใต้ ไปบ้านคุณตาใจ ไปสงขลานะ….นอกจากความรู้ที่แม่สอนได้เลย ก็จะมีคำถามอีกมากมายที่ได้จากการสังเกตที่แม่ไม่เคยเบื่อที่จะตอบเลย ชอบบบบบบ (^_^)……เช่น ทำไมสถานีสะพานตากสินถึงมีชานชาลาฝั่งเดียว? / ทำไมสถานีกรุงธนบุรีถึงมืด? / ทำไมสถานีเซนทรัลลาดพร้าวถึงไม่ได้อยู่ที่สถานีลาดพร้าว? / ทำไมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถึงไม่อ่านว่า ‘พู-มิ’? / ทำไมสนามกีฬาถึงต้องใช้ ‘ฬ’? / ราชเทวี กับ ราชปรารภเขียน ‘ราช’ เหมือนกันเลย แล้วทำไมอารีย์ไม่เขียนว่า ‘อารี’ ไม่มี ‘ย์’ ก็อ่านว่า ‘อารี’ ได้นะแม่? / ทำไมช่องนนทรี คำว่า ‘ทรี’ ถึงอ่านว่า ‘ซี’ แล้วคำว่า ‘ทรี’ ที่แปลว่า 3 เขียนยังไง? / สถานีอุดมสุขมีความสุขใช่มั้ย มันคล้ายๆ กัน? / เอกมัยไปร้านลุงกอล์ฟ ทองหล่อไปร้านมี๊ต๋อม แล้วระหว่างอารีย์กับสะพานควายก็ออฟฟิสเรานะแม่…บลาๆๆๆๆ….สนุกดี

เอาเข้าจริงๆ คิดว่าแค่การสนใจเรื่องๆ เดียวของเด็กคนนึง ผปค.ก็สามารถต่อยอดสอนเรื่องความรู้รอบตัวไปได้อีกเยอะมากมายและสนุกมากเลยล่ะ

ปีนี้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้เวลากับลูกมากๆ ชดเชยกับอาการบ้างานจนทำให้เราเหมือนจะห่างกันไปบ้้างช่วงที่ผ่านมา
ทำให้ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เติบโตไปด้วยกัน…ทุกๆ วันอย่างมีความสุข
อย่างที่เคยบอกแล้วว่า ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้ดีเพอร์เฟคอะไรนัก แม่กับปาป๊าก็จะไม่เอาแต่เดินตามหลังคอยแต่ระวังให้จิระหรอกนะ แม่กับปาป๊าจะคอยอยู่ข้างๆ จิระจิระตลอดไปดีกว่า

รักนะ จุ๊บๆ

Read the rest of this entry »

Written by pikarin

August 28, 2012 at 01:50

Posted in my monkey

no more….memo

จิระ : แม่คับ วันศุกร์มีงานวันแม่ที่โรงเรียนนะ

มี๊จีน : ไปอยู่แล้ว แป๊บๆ จะเป็นหนุ่มละเนอะ ละโตขึ้นจะไปอยู่กับแฟนหรืออยู่กะแม่น๊อ…

จิระ : แม่คับจิระ 5 ขวบนะ ยังหาแฟนไม่ได้เลยนะ อย่ามาถามตอนนี้สิ!

 

ข้อใดถูกต้อง

ก. ตอนนี้ตอบไม่ได้ ให้มาถามอีกทีตอนมีแฟนแล้ว

ข. เพิ่งจะ 5 ขวบ ยังไม่สามารถหาแฟนได้ อย่าเพิ่งถามสิ

ค. 5 ขวบแต่ยังหาแฟนไม่ได้ เลยตอบไม่ได้

 

– II –

 

ดีกัน ตีกัน พ่นน้ำลายใส่กันจนระฆังหมดยก

 

มิวมิว : ต่อไปนี้นะมิวมิวจะไม่แต่งงานกับจิระอีกต่อไป เพราะจิระเหยียดหยามมิว! มิวมิวกับพราวพราวจะไม่รักจิระอีกต่อไป! ใช่มั้ย? (หันมาหาขาหมู)

ขาหมู : อ๊า!! แต่พี่พราวรักจิระนะ พี่พราวจะแต่งงานกับจิระเพราะมี๊จีนมีกระเป๋าสีๆ เยอะ!!

 

ตึ่ง!!

 

– III – 

 

หลังแยกย้ายบ้านลิงก็หนีบสองสาวกลับมาเมาท์ต่ออีกนิด

 

มี๊จีน : มิว พ่อกับแม่เธอไปไหนรู้ป่ะเนี่ย?

มิวมิว : อ๋ออออ เค้าไปดูหนังกันในโรงหนังไง

มี๊จีน : แล้วมิวเคยไปด้วยมั้ยอ่ะ

มิวมิว : ม่ายยยย ดูหนังในโรงหนังน่ะเค้าเอาไว้ให้ไปจิ๊จ๊ะกัน ที่บ้านเค้าก็จิ๊จ๊ะด๊ายยยย แต่เค้าชอบไปจิ๊จ๊ะกันในโรงหนัง

ขาหมู : แล้วเค้าก็กินป๊อบคอร์นตอนจิ๊จ๊ะกันด้วยใช่มั้ยล่าาา?

จิระ : จิจ๊ะคืออะไรอ่ะแม่?

มิวมิว : ก็เดี๋ยวชั้นกับพราวพราวจะไปจิ๊จ๊ะกันที่บ้านเธอไง!!!!

 

ผู้ปกครองคะ…โปรดพิจารณา !(◎_◎;)

 

 – IV –

 

ของขวัญวันเกิด 5 ขวบปีนี้ คุณลูกชายรีเควสกล้องถ่ายรูป อีแม่แอบยิ้มว่าในที่สุดก็เริ่มมี activity เท่ๆ ละเฟ้ย…ที่ไหนได้ฮีกำชับสั่งมา “แม่..เอากล้องสีชมพูนะ!”

 

อ่า…หุบยิ้มแทบไม่ทัน

นึกว่าไม่มีลูกสาวแล้วจะรอดละนะสีนี้ T^T

 

– V – 

 

หลายวันก่อน… 

จิระ : ที่โรงเรียนนะ จิระชอบเล่นร้อยลูกปัดล่ะ พอเอาไปให้เพื่อนดู เพื่อนๆ ก็บอกว่า “มันเจ๋งอ่ะ”

แม่ : โหว เท่อ่ะ แล้วเวลาเพื่อนชมจิระรู้สึกไง?

จิระ : (ยิ้มกว้างพยักหน้า) เวลาได้ยินแล้วมันเสียวมากเลย!!

 

!!!!!!?

 

 – VI –

  

จิระ : แม่…จิระอยากได้บ้านใหม่อ่ะ

แม่ : ทำไมอ่ะ อยากได้สนามเหมือนอะตอมเหรอ?

จิระ : ม่ายช่ายยย!! จิระเบื่อบ้านสีเทาๆ ดำๆ แล้วอ่ะ จิระอยากได้บ้านสีชมพู!

 

(-_-)”

 

 – VII +Grandmama –

 

คุณนาย : นี่ๆ ทีวีบ้านเรามีเนชั่นแนลมั้ยอ่ะ?

ปั๋ว : ทีวีบ้านเรามีแต่โตชิบ้ากับฟิลลิป เดี๋ยวนี้เนชั่นแนลเค้าเป็นพานาโซนิคหมดละครับ

คุณนาย : ว๊า…ไม่มีเนชั่นแนลแล้วชั้นจะดูยังไงล่ะทีนี้

ปั๋ว : คุณยายจะดูอะไรเหรอครับถึงต้องดูแต่ยี่ห้อนั้น?

คุณนาย : ก็เห็นคุณนคร(ในซอย)เค้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ถ้าจะดู คุย คุ้ย ข่าว จะต้องดูเนชั่นแนล

ปั๋ว : เอ่ออ…โตชิบ้าก็ดูได้ครับ นั่นมันช่อง”เนชั่น” ไม่ใช่ “เนชั่นแนล” (-_-)”

Written by pikarin

August 8, 2012 at 23:02

Posted in my monkey

Tagged with

Jira GAG-II

– 1 –

ล่กๆ เรื่องหาโรงเรียนป.1 (ตามมิว) เพราะชะล่าใจจนไม่ทันสังเกตวันเกิดและเกณฑ์ว่าแต่ละโรงเรียนเค้ารับไม่เหมือนกัน…..พอลองถามเจ้าตัวว่าแล้วจะไปเรียนไหนดี ก็ได้คำตอบชิวชิวว่า “เดี๋ยวจบอ.3 บ้านวาดฝันแล้วจิระจะไปเรียนเตรียมอุดมนะแม่” -_-” เอาป.1 ให้รอดก่อนเถอะเอ็ง ข้ามไปหลายขั้นเลยนั่น

 

– 2 –

เมื่อเช้าทำพาสต้าให้จิระ พอเรียกมากินปุ๊บถามเลย “ถ่ายรูปรึยังแม่?” -_-“

คุณยายถาม…”ทำไมต้องถ่ายรูป?”

ลิงตอบ “เวลาจะกินข้าวเนี่ย เค้าต้องถ่ายรูปก่อนรู้มั้ยคุณยาย”

 

– 3 –

แม่ : วันนี้จิระพูดกับครูไม่เพราะเลยนะ

จิระ : แม่ก็อย่ารีบให้จิระไปโรงเรียนเร็วๆ สิ

แม่ : เกี่ยวอะไรด้วยอ่ะนั่น

จิระ : ก็จิระลืม “ครับ” ไว้ที่บ้านไง

 

– 4 –

แม่ : ดึกมากแล้วนะ เมื่อไหร่จะนอนฮึ?

จิระ : ไม่เอาหลาย ไม่เอากว่า ดึกมากน่ะเท่าไหร่แม่?

แม่ : เด็กต้องนอนตอน 3 ทุ่ม ตอนนี้ 4 ทุ่ม 50 

จิระ : ช้า 110 นาที ดึกจริงๆ ด้วย! 

ว่าแล้วก็หลับตาม่อกหลับไปแต่โดยดี… -_- ชีวิตเอ็งมันต้องเป๊ะขนาดนี้เลยเหรอไอ้ตูด!

 

– 5 –

บิ้วโหมดโอตากุแม่พยายามชวนลิงวาดรูปด้วยโจทย์ง่ายๆ ‘อาหาร 5 หมู่’ คะยั้นคะยอให้วาดผัก ลิงเขียนเลข 3 แล้วกาทิ้ง บอกว่า “นี่เป็นหมู่ที่จิระไม่ชอบกินนะแม่” -_-” เอาวะไม่เป็นไรคงยากไป งั้นวาดนมละกัน…ลิงก็จัดสี่เหลี่ยมและ “250 ml.” มาให้ เอากะมันสิ…convert รูปเป็นเลขจนได้ -_-“

รูป : นมกล่องของป๋ม…โปรดสังเกต เลข 96 ข้างนมสตอบี้ กะนมหวาน และเลข 100 ข้างนมจืด 250 ml…ก่าแม่จะเก็ท ( ̄◇ ̄;)

Image

Written by pikarin

May 28, 2012 at 22:03

Posted in my monkey

Tagged with

Jira GAG-I

– 1 –

จิระ : “แม่…รู้มั้ยว่าจิระเกิดวันที่ 210 ของปีนะ”
แม่ : “ละทำไม 210 อ่ะ?”
จิระ : “ก็วันเกิดจิระเดือน 7 วันที่ 30 ไง”
แม่ : “อ่ะฮะ…เอาวันมาคูณ 7 เดือนชิมิ?”
จิระ : “ก็โลกนี้น่ะเดือนนึงมันมี 30 กับ 31 วัน…แต่ถ้า 32 วันน่ะเค้าเอาไว้ใช้นอกโลกนู่นนนนนน!!!”

………………………………… หลังจากนั้น 3 วัน

จิระ : “แม่!! เปลี่ยนใหม่นะ…ปีนี้จิระเกิดวันที่ 211 ของปีนะ”

แม่ : “ไหนวันก่อนบอกว่า 210 ไง คราวนี้คิดยังไงอีกล่ะ เดือนx7 กับเดือนก.พ.มี 29 วันเหรอ?”
จิระ : “ทำไมแม่คิดอะไรยากจัง จิระแค่นับปฏิทินเองนะ”

แล้วฮีก็เดินหน้าตายจากไป…(-_-)

– 2 –

จิระ : “แม่คับ ตังค์เนี่ยมันขอเฉยๆ ไม่ได้ใช่มั้ยคับ ต้องทำงานถึงจะได้ตังค์ใช่มั้ยคับ?”
แม่ : “ใช่ ตังค์ถึงได้มีค่าไง กว่าจะอดทนลำบากทำงานได้มา”
จิระ : “จิระเจอตังค์ 3 บาทของแม่ ถ้าจะขอก็ต้องทำงานใช่มั้ยคับ”
แม่ : “งั้นมาทำงานกัน…นวดให้แม่ 5 นาทีได้บาทนึงโอเคร๊?” (แรงงานนรกมาก 555)

จิระ : “แม่มี 3 บาทได้แค่ 15 นาที แต่จิระจะเอาไปซื้อขนม 5 บาทก็ต้องนวด 25 นาทีน่ะสิ”
แม่ : “วันนี้นวด 15 นาทีละค่อยมาต่อพรุ่งนี้สิ ค่อยๆ ทำงานเก็บเงินไง”
จิระ : “ถ้าถูกขังที่ทำงานจะได้เงินเยอะป่าวคับ”
แม่ : “ถูกขังอะไร? อย่างที่แม่อยู่ออฟฟิสดึกๆ เหรอ?”
จิระ : “ช่ายยยย ที่จิระลืมแม่ แล้วลุงเด่นก็ขังแม่ให้ทำงานนานๆ ไง ถ้าถูกขังไม่ได้กลับบ้านแล้วแม่จะได้ตังค์กี่นาทีอะค้าบบบ ถ้าได้เงินเยอะๆ แม่ขังจิระก็ด๊ายยยยยย”

(-_-)

โปรดสังเกตมือข้างนึง เก็บมัดจำไว้ก่อนด้วยอ๊ะ!

– 3 –

จิระ : “แม่…1 วันน่ะพระอาทิตย์กับพระจันทร์มันแบ่งกันทำงานกันคนละครึ่งนะ ถ้ามันมีแค่พระจันทร์ทำงานคนเดียวเค้านับเป็นเท่าไหร่?”
แม่ : “ครึ่งนึงก็ 0.5 ไง”
จิระ : “แล้วถ้า 1.8 ล่ะ”
แม่ : “ก็เกือบจะ 2”
จิระ : “แล้ว 4.1 ล่ะ”
แม่ : “ก็ 4 นิดๆ”
จิระ : “ถ้า 5.5 ก็เท่ากับ 5 ครึ่งใช่มั้ยแม่”
จิระ : “……..แล้ว…8.10 ล่ะ”
แม่ : “.10 ไม่มี”
จิระ : “8.10 ก็ 9 ไง! แต่วันจันทร์น่ะมันนับได้แค่ 7 นะ เพราะ 1 สัปดาห์มันมีแค่ 7 วัน จิระถามไปงั้นแหละ แม่ไม่ต้องหัดนับหรอกนะ มันยาก”

– 4 –

mix & match by monkey!

เช้านี้เลือกเสื้อผ้าเอง mix&match ขัดใจพ่อ ขุดเสื้อโปโลเหลืองตัวจิ๋วติดจักกะแร้ใส่ตั้งแต่ขวบนึงมาเข้าคู่กับสกินนี่ยีนส์ปานจะไปดูคอนเสิร์ตพี่ตูน ป๊าบอกให้เปลี่ยนเพราะมันฟิตมากฮีก็ไม่ยอม แถมย้อนถาม “ทำไมปาป๊าถึงได้มีปัญหากับเรื่องเสื้อผ้าจิระนักฮึ?”

เห็นอนาคตรำไร….

– 5 –

มาช้อปปิ้งกัน 2 คนแม่ลูก อิแม่ไม่ได้ zara sale ซักกะตัว -_- มีแต่ของลิง แถมมีบ่น
“แม่ทำไมจะให้จิระลองอยู่นั่นแหละ ซื้อๆ ไปเหอะ ลองเยอะปวดหัว!” แมนมั่ก!!

Written by pikarin

February 11, 2012 at 10:27

Posted in my monkey

Tagged with ,

Jirajira’s memo

Image

หลังจากที่หายกันไปพ่อลูกพักใหญ่ ลิงก็มานัวเนีย…

จิระ : “แม่…จิระจะไม่บอกความลับหรอกนะว่า…เค้ก”
แม่ : “แล้วจิระก็จะไม่บอกแม่ด้วยใช่มั้ยว่าไปไหนกันมา”
จิระ : “ช่ายยยย จิระไม่บอกแม่หรอกว่า โรบินสัน”
แม่ : “โอเค เดี๋ยวแม่รอเซอไพรซ์ก็ละกันนะ”
จิระ : “ความลับนะแม่…เค้ก มันจะกินได้ตอน 2 ทุ่ม”

เซอร์ไพรซ์แบบนี้ ลูกป๊าเจงเจงงงง 555
Read the rest of this entry »

Written by pikarin

January 23, 2012 at 12:40

Posted in my monkey

ICL memo

จากที่ปวดหัวกับสายตาตัวเองมานานนักรู้ทั้งรู้ว่าอ.หมอเจตน์เคยตรวจให้ที่ BI แล้วว่าตาข้าพเจ้าทำเลสิกไม่ได้ เพราะสั้นเยอะ เอียงเยอะ และ ตาแห้ง แพ้แสงด้วยอาการคนทำงานหน้าคอม เลนส์ตาบาง และจุดใหญ่ๆ ที่ยั้งใจไว้ไม่เสร็จเลสิกก็เพราะถ้าทำแล้วความสามารถในการแยก step สีจะลดลง แยกเฉดได้ไม่ละเอียด เช่นที่เคยเห็น เทา 1 2 3 4 5 ก็จะเห็นแค่ 1 3 5 ไรงี้ (ซึ่งข้อนี้สำคัญสำหรับการทำงานดิชั้นอย่างยิ่งยวด) รวมไปถึงว่่าเลสิกแล้วใส่คอนแทกเลนส์ปรับตาส่อนเวลาไปงานที่ต้องสวยไม่ได้แล้วนะ เพราะตาที่แห้งอยู่แล้วก็จะแห้งมากกกก แต่มันก็ตั้งหลายปีมาแล้วงิ มันก็น่าจะมีเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะพอไหวป๊ะ? ก็ให้ความหวังตัวเองมาตลอด….วันก่อนนู่นนนนแวะไปงาน pearypie workshop ละมีโอกาสรู้จักคุณอนุวัตรที่เป็นเจ้าของบ. filtech ที่นำเข้าเครื่องเลเซอร์ต่างๆ รวมไปถึงเลนส์ตาเทียม ละก็อุปกรณ์เลสิกทั้งหมด…พอคุยไปคุยมาถึงข้อมูล ICL ที่ถึงแม้มันยังเพิ่งมีมาไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็ไฟลุกกันอีกครั้งว่างวดนี้แหละ จะได้หลุดพ้นกับโรคขาดแว่นไม่ได้ซะที นับๆ ดูแล้วใส่แว่นมาตั้งแต่อยู่ ป.3 จนป่านนี้ก็ 20 กว่าปีแล้ว โคตรอึด

ไอ้เจ้า ICL นี้ พูดจาภาษาชาวบ้านก็คือ การผ่าตัดสอดเลนส์เทียมเสริมไปไว้ระหว่างเลนส์แก้วตา เพื่อให้ปรับโฟกัสได้ชัดขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม (search ICL)

การใส่เลนส์เสริม (Phakic Intraocular Lens หรือ Phakic IOL)

เลนส์ชนิดพิเศษ
ผลิตจาก Collamer ขนาดเล็ก พับได้
เลนส์ถูกวางหลัง รูม่านตา
หน้าเลนส์แก้ว
เลนส์ใส่เข้าไปในตาอย่างถาวร
แก้ไขปัญหาสาย
ตาทำให้แสงตกกระทบ
พอดีที่จุดรับภาพ

เป็นวิธีการผ่าตัดรักษาภาวะสายตาผิดปกติ (สายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียง) แบบถาวรโดยแพทย์จะทำการเปิดแผลขนาดเล็ก 3 – 3.5 มิลลิเมตร ผ่านกระจกตาเพื่อนำเลนส์ (มีลักษณะพับได้) ใส่เข้าไป แผลนี้จะสมานตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องเย็บแผล เลนส์ที่ถูกสอดเข้าไปในตา จะค่อย ๆ คลี่ตัวออกและถูกวางไว้บริเวณหลังม่านตา และอยู่ด้านหน้าเลนส์แก้วตา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การผ่าตัดใส่เลนส์ Phakic IOL มีความเสี่ยงต่ำมาก  คนไข้จะได้รับยาชาเฉพาะที่ เพื่อลดอาการไม่สบายตาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผ่าตัด การผ่าตัดนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นคนไข้สามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้

ข้อดี
1. สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้อีกกี่ครั้งก็ได้ถ้าสายตาเปลี่ยนในอนาคต
2. ใส่คอนแทกเลนส์ทับได้เพราะไม่ใช่การเฉือนกระจกตาออกไปถาวร
3. ไม่มีปัญหาเรื่องตาแห้ง และการแยก step สีมากไปกว่าปกติที่เป็นอยู่ (ใครเคยได้แค่ไหนก้แค่นั้นแหละ)

ข้อเสีย
1. แพงเลือดสาดดดดดดดด จากราคาที่เช็กมาของรพ.กรุงเทพอยู่ที่ประมาณ 129000++/ ตา 1 ข้าง เจ๊ดเขร้!! ที่หาข้อมูลมาส่วนมากราคาจะอยู่ที่หลักหมื่น (80000+ สำหรับตาเอียง) แต่ถามไปถามมาก็คือที่ รพ.กท.ยังไม่รวมค่าเลเซอร์ yag ม่านตาปรับความดันและค่า follow อื่นๆ อีก….แต่ก็สรุปว่าคงไปทำที่รพ.วิภาวดี เพราะหมอคนเดียวกัน
2. ถ้าระหว่างที่ต้องดูแล เกิดติดเชื้อขึ้นมา ต้องเอาเลนส์ออก ซึ่งเป็นเคสร้ายแรงที่สุด ก็เท่ากะทำฟรี เสียตังค์ฟรี

เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นเรียบร้อย…..2 วันต่อมา ในหัวก็ยังคงวนเวียนอยู่กะเรื่อง ICL เป็นอันรู้ว่าเอาจริงแน่ๆ ทีนี้ เลยโทรไปขอคำแนะนำเพิ่มหน่อยเหอะวะ คุณอนุวัตรก็ติดต่อนัดหมอฐิดานันท์ให้เสร็จสรรพวันนั้นเลย ขอบพระคุณค่าาาา T/\T

27/12/1011

เข้าไปตรวจที่รพ.กรุงเทพตรวจความโค้งลูกตา ความหนาบาง เช็กสายตา ดูความกว้างของมุมตา วัดความดัน อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย …..แต่ยังติดตรงที่ว่าวันที่ไปช้าไปหน่อย ต้องรีบกลับไปรับลูกลิงเลยไม่สามารถหยอดยาขยายม่านตาได้ ก็เลยนัดกันอีกครั้ง หลังปีใหม่ พร้อมกับอีกขาก็ปรึกษาหมออาร์ตที่เมกาไปด้วยเพื่อความชัวร์ว่ามันโอเคจริงเหรอ…..เมื่อข้อมูลจากหมออาร์ตบอกว่าโอเค รวมทั้งซักถามทั้ง 2 หมอว่า effect มันจะมีอะไรมั่ง ซึ่งหลักๆ จะเป็นเรื่องความดันลูกตาสำหรับคนที่มุมฐานตาแคบจะมีปัญหาเยอะ ละก็เรื่องการ yag เลเซอร์เพื่อขยายการระบายน้ำในลูกตาเพื่อลดความดัน การมองเห็นแสงจ้า ฟุ้งกระจาย รวมไปถึงความเสี่ยงของต้อกระจก และการติดเชื้อว่าร้ายแรงสุดจะประมาณไหน ฟังๆ มาทั้งหมดมันก็ยังดีกว่าที่ตอนนี้ต้องใส่แว่นละวะ

4/1/2012

วันนี้หมอนัด follow หยอดยาขยายม่านตา (ใช้เวลา 45 นาที) ตรวจจอประสาทตา ตรวจสายตา 2 รอบ ตรวจนั่นนี่ ซักถามเรื่อง effect และความคาดหวังต่างๆ อีกครั้ง….คราวหน้านัดอีกที (วันที่ 2 กพ.) ก็จะยิงเลเซอร์ yag ระบายความดันละน๊าาาา ไอ้เจ้าเลเซอร์นี่หมอก็อธิบายว่าจุดไหน เพราะอะไรที่จะทำให้มีผลข้างเคียงการฟุ้งของแสงไรงี้ด้วย แล้วก็ควร yag อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ก่อนจะใส่เลนส์จริง เพื่อที่จะได้รู้ว่า รูที่ yag ไว้มันแห้งและเปิดจริงหรือต้องมายิงซ้ำอีก

งานนี้คนกลัวไม่ใช่คนจะทำ แต่คุณซะมีดั๊นนี่แค่ฟังก็นั่งลุ้นแล้วฮร่ะ ฮุฮุ

31/1/2012

มีนัดวัดเลนส์ที่บ. filltech ที่เมืองทอง…ส่งลิงไปรร.ปั๊บก็บึ่งไปเลย น้องปัญคนงามมาดูแลต้อนรับ อธิบายขั้นตอนการทำ u/s ในวันนี้ (บังเอิญมากว่าน้องปัญเป็นสาวจีบันดั้วะ!) ซึ่งก็ขลุกขลักนิดนึงตรงที่ บ.เพิ่งย้ายออฟฟิสมาที่นี่ (หนีน้ำท่วม) เลยยังตกแต่ง ซ่อมแซมไม่เสร็จ ห้องที่ปกติใช้วัดเลนส์ก็ยังไม่เสร็จก็เลยต้องใช้ห้องประชุมเป็นการชั่วคราวไปก่อน แต่จะเลื่อนไปอีกก็กลัวว่าจะได้เลนส์ช้าออกไปอีกเพราะสั่งเลนส์จากสวิสใช้เวลาประมาณเดือนครึ่ง-2 เดือน ซึ่งการคำนวนวันนัดวันเลนส์ วัน yag วันใส่เลนส์มีผลต่อแปลนงานแปลนเที่ยวต่างๆ ที่จะต้องทำในเดือนนี้ เดือนนู้นต่อไปอีก 2-3 เดือนนั้นเลย ต้องแปลนดีๆ เพราะว่าถ้าจะ yag วันที่ 9 (เลื่อนจากวันที่ 2 เพราะต้นติดธุระหลายอย่างเคลียร์ไม่ทัน) ก็จะต้องพักตา ห้ามโดนน้ำห้ามแต่งหน้าไป 2 สัปดาห์ ก็จะต้องเคลียร์ๆๆ งานและธุระต่างๆ ช่วงปลายเดือนให้เรียบร้อยเตรียมไป HK กะที่บ้าน กลับจาก HK ก็น่าจะพอดีกับได้เลนส์ กะไว้ว่าเต็มที่ก็ต้องใส่เลนส์ไม่เกินเดือนมีนา เพราะต้องพักตาไปอีก 2 สัปดาห์เหมือนเดิม พอพ้นช่วงก็แปลนเที่ยวกันต่อตอนปลายเมษา ซึ่งก็ถ้าผ่านไปได้ด้วยดีก็จะเป็นทริปแรกที่ไม่ต้องใส่แว่นล่ะเว้ยเฮ้ยยยย!!!

u/s ลูกกะตา วัดเลนส์ ICL

มาถึงตอนที่จะเริ่มทำ u/s ลูกกะตาล่ะ….เริ่มต้นก็ต้องหยอดยาชา และป้ายน้ำตาเทียมแบบเจล…อย่างที่บอกว่าสถานที่ยังไม่เรียบร้อย ก็เลยต้องใช้เก้าอี้ทำงานนั่งเงยหน้าให้ปวดคอกันนิดนึง (น้องปัญบอกว่าปกติช่วงนี้จะนัดไปวัดเลนส์ที่รพ.ก็ได้จ้า แต่อิชั้นมาที่นี่สะดวกกว่านะ)

พอได้ที่ ก็เริ่มเอาอุปกรณ์เครื่องตรวจ u/s มาคลึงๆ ลูกกะตา เป็นหัวนุ่มๆ น้ำๆ อารมณ์ประมาณ eye mask เย็นๆ แต่ก็ต้องฝืนลืมตาตรงมองไปข้างหน้าให้นิ่งที่สุดเพื่อที่จะได้วัดความกว้างความโค้งระหว่างกระจกตาได้ใกล้เคียงที่สุด ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 15-20 นาทีก็เสร็จ…ระหว่างนั้นก็ซักถามข้อมูลต่างๆ เพื่อความเข้าใจมากขึ้น ส่วนมากที่ถามก็จะเป็นเรื่อง error effect ต่างๆ ซะมากกว่า

เวลา u/s ก็จะแปะๆ วนๆ คลึงๆ อย่างนี้ หยึยนิดนึงนะ


ข้อมูลที่ได้เพิ่มในการอัพเดทหลังจากทำ u/s คือ

  • ค่าทำ ICL สำหรับสายตาเอียงของรพ.วิภาวดีอยู่ที่ 199,000/2 ข้าง รวมค่า yag ค่าห้อง 2 คืน (ทำวันละข้าง) ค่าผ่าตัด ค่า follow อื่นๆ หมดแล้ว…ถูกกว่า รพ.กท.เหยียบแสนนะนั่น!
  • error ของการทำ ICL อยู่ที่ประมาณ 1% ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องค่าสายตาที่เยอะจนเก็บไม่หมด การติดเชื้อระหว่างการดูแลหลังการทำ (ส่วนใหญ่ที่พบมาจากน้ำเข้าตา) และการเกิดต้อกระจกภายหลัง
  • โดยเฉลี่ยแล้วปัจจุบันในประเทศไทยมีคนทำ ICL วันละคน
  • การทำ ICL ช่องว่างในลูกกะตาจะต้องมีความลึก 2.8+ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลนส์ ที่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดต้อกระจกได้ (คนที่ช่องนี้ตื้นหมอจะไม่ทำให้นะคะ)
  • ICL สามารถแก้สายตาสั้นได้ตั้งแต่ 50 ถึง 1800 ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องใส่แว่นช่วยล่ะ เคสที่น้องบอกว่าเคยเจอโหดสุดๆ คือคนไข้สายตาสั้น 2400!!!  -_-
  • การเลือกค่าสายตาของเลนส์ คุณหมอจะช่วยเลือกให้ว่าจะให้ค่าสายตาติดบวกนิดๆ หรือลบนิดๆ เผื่อสายตาปรับหลังจากใส่เลนส์นิดหน่อย (โดยปกติจะเหลือลบนิดๆ ไว้มากกว่า)
  • ถ้าให้เทียบกับการใส่แว่นเป็น TV จอแก้วยุค 70 ละก็ ICL คือภาพระบบ HD เลยทีเดียว เวอร์เนอะ เดี๋ยวทำแล้วได้ขนาดนั้นเลยป่ะจะมาบอกอีกที

9/2/2012

ได้เวลานัด ยิง Yag เปิดรูม่านตากันแล้ว….
ไปถึงรพ.วิภาวดีตอน 9 โมง 50 หน้าโล้นมาเลย เพราะเค้าห้ามแต่งหน้าใดๆ แม้แต่แป้ง…ลงทะเบียนผู้ป่วยเรียบร้อยก็ขึ้นไปที่ศูนย์เลสิกชั้น 18 พบคุณหมอแป๊บนึงว่าวันนี้มีขั้นตอนอะไรบ้าง แล้วคุณพยาบาลก็มาอธิบายรายละเอียดอีกที

เริ่มต้นเลยก็ไปวัดความโค้งกระจกตา และช่องว่างภายในลูกกะตากันอีกครั้ง ตัวที่วัดคล้ายๆ ที่ไป u/s วัดเลนส์แต่คราวนี้ง่ายมาก เป็นดิจิตอล ทำตาโตๆ ให้เครื่องแป๊บเดียวก็เสร็จ ….ออกมาพยาบาลก็มาหยอดยาหดรูม่านตาให้ หยดแล้วก็ทิ้งไว้ 3 รอบ ขั้นตอนนี้เล่นเอาปวดหัวตึ้บเลย หนักหัวเหมือนเมาค้าง รวมกับช่วงเช้าที่ง่วงๆ ด้วยนี่มึนสุดๆ พอได้ที่แล้วก็หยอดยาชา วัดความดันลูกตา (เครื่องที่มีลมเป่าๆ) เตรียมตัวไป Yag ที่ชั้น 2

ช่วงเช้านี่เหมือนจะง่าย ขั้นตอนจริงๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ แต่จะเสียเวลาก็ตรงรอยาชา รอห้องนี่ล่ะ

พอถึงขั้นตอน Yag คุณหมอจะเอาเครื่องมือที่เหมือนเลนส์กล้องตัวจิ๋วๆ ที่ฝั่งนึงเป็นคอนแทกเลนส์มาแปะที่ลูกกะตา เอาหน้าวางที่เครื่อง laser แล้วก็เริ่ม Yag ที่ตะแรกน้องปัญคนงามเล่าไว้ซะน่ากลัว เอาเข้าจริงก็ไม่โหดอย่างที่คิด คุณหมอก็พูดไปคุยไป ส่วนลูกกะตาก็จะรู้สึกเหมือนโดนหนังยางดีด ตามจังหวะการยิง ปึ้ก ปึ้ก ปี้ก ไม่ถึง 15 นาทีก็เสร็จ….. ตาข้างขวานี่ชิวมาก ไม่เจ็บเลย แต่ข้างซ้ายจะ sensitve กว่าก็มีสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ก็โอเค ไม่เจ็บอะไรมากมาย….แล้วก็ออกมานั่งรอ เดินเล่นรอครึ่งชม. เพื่อรอวัดความดันลูกตาอีกครั้ง

ระหว่างที่รอหลัง Yag เสร็จนี่จะมองเห็น cell ที่ฟุ้งกระจายในลูกตาสีขาวๆ ดำๆ เหมือนอะมีบ้าลอยไปลอยมาเหมือนหมอก แต่ก็ยังไม่เจ็บอะไร พอวัดความดันลูกตาเสร็จ ก็มาเก็บ Yag อีกรอบ เพื่อให้ได้ความกว้างรูม่านตาที่โอเค รอบ 2 นี่ตอนที่ติดเครื่องเมือเข้าไปเคืองใช้ได้ รู้สึกว่ายาชาเริ่มหมดฤทธิ์ล่ะแสบเลย เพราะตาแห้งมาก ถูกกระทำมาซะเยอะ ต้องนั่งหลับตาพักใหญ่เลยกว่าจะลืมตาได้

การดูแล ในขั้นตอน Yag นี่ก็มียาหยอดแก้อักเสบ วันละ 4 ครั้ง ควรนอนหมอนสูงหรือนั่งในช่วงแรก เพื่อให้ cell ที่ฟุ้งกระจายตกลงมาข้างล่าง (ถ้านอนหงายมันจะตกไปข้างหลังทำให้รำคาญว่ามีอะมีบ้าลอยไม่เลิก) อื่นๆ ก็ทำได้ตามกิจวัตรประจำวันได้หมด แต่ก็ยังไม่ควรให้น้ำเข้าตาแค่นั้นเลย…..วันที่ 2 หลังจาก Yag แล้ว ไม่เคืองตา ไม่รู้สึกเจ็บเลย ปกติมาก ยังมีอะมีบ้าลอยนิดหน่อย แต่ไม่เยอะเท่าเมื่อวานแล้ว

ผ่านพ้น Yag ไปแล้ว จ่ายค่ามัดจำเลนส์แล้ว ก็มาได้ครึ่งทางแล้ว…..เหลือรอเลนส์ปลายเดือนมีนา ก็จะได้ลาแว่นกันแล้วน๊าาาาาา

Written by pikarin

January 4, 2012 at 22:54

มาเรียนดนตรีกันเถอะ

ไม่ค่อยได้อัพเดทเรื่องการเรียน การเล่นของจิระซักเท่าไหร่ แต่รวมๆ ก็คือตั้งแต่เริ่มให้เรียนดนตรีเป็นต้นมาจากที่เรียนกับครูวิวที่รร.ช่วงเย็นระหว่างรอป๊าไปรับ พอเริ่มจะเข้ากลุ่มได้ก็ให้ลองเรียน JMC ดูก่อน และจาก JMC นี่แหละที่ลิงชอบมากจนเกิดอาการอินใช้ได้ ชอบถึงขนาดร้องไห้ไม่ยอมกลับบ้าน จะเรียนต่อ นั่งนับวันรอวันเสาร์กันเลยทีเดียวล่ะ
ละพอ 4 ขวบปั๊บบบบบบ แม่กะป๊าก็เลยถอยของดำมาเป็นของขวัญวันเกิด หลังจากดูมาพักนึงว่าน่าจะส่งเสริมนะ…..ได้ครูภูมิมาสอนที่บ้านจากการแนะนำของคนรู้จักของคนรู้จักอีกที ก็โอเคร๊ (ส่วนเรียนเพิ่มที่บ้านนี่ก็ไม่ได้บังคับอะไร ชิวๆ กันไปอะนะ แต่เค้าอยากเรียนเอง)
หลังจากเรียนเปียโนกันได้ 3 ครั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับความสามารถน้อยๆ ขึ้นอีกนิดๆ…..เช่นตื่นมาปั๊บ กลับบ้านปั๊บ ก็ปีนขึ้นเก้าอี้ ขอดีดตึ่ง ตึง ตึ๊ง ซะหน่อยน่า จากเห่อบรรทัด 5 เส้น มาเห่ออ่านโน้ต ละพอครูภูมิสอนเรื่องจังหวะว่าโน้ตแต่ละอย่างต่างกันยังไง ไอ้ที่ดูไม่สนๆ ก็ทำได้นี่หว่า 😀
ตอนนี้ทั้งแม่ทั้งป๊า เลยขุดกรุความรู้นั่งนั่บโน้ตลองเล่นกันใหญ่ (กลัวคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง) ก็รอดูต่อไปว่าจะเป็นยังไงน๊าาาา
  • พัฒนาการฟีเจอริ่งระหว่างคณิตศาสตร์ vs ดนตรีของเด็ก 4 ขวบ….”โน้ตตัวดำ 3 ตัว + โน้ตตัวขาวมีไฝ = 6 // โน้ตตัวกลม 1 ตัว + โน้ตตัวดำ 2 ตัว + โน้ตตัวขาว 2 ตัว = 10″
  • “โน้ตตัวดำ 1 จังหวะ โน้ตตัวขาว 2 จังหวะ ถ้ามีไฝ 3 จังหวะ…จิระก็เป็นเด็ก 3 จังหวะสิแม่ ก็จิระมีไฝอ๊ะ!”

 

Written by pikarin

August 24, 2011 at 17:55

Posted in my monkey